" เก็บอะไรใส่ชีวิตหนอคนกล้า
เก็บความเหว่ว้าเดียวดายกลางสายฝน
เก็บความหวังความฝันมาใส่ตน
เก็บมาเติมความเข้มให้เต็มคน"
(ดัดแปลงจากกลอนที่เพื่อนคนหนึ่งบอกให้ฟังว่าเป็นกลอนของพี่จุ้ย ศุ บุญเลี้ยง) ใครรู้มาเขียมกลอนที่ถูกให้ฟังด้วยนะครับ
วันนี้มีเรื่องประทับใจมากมาเล่าสู่กันฟัง ขณะที่ผมกำลังพักจากการออกข้อสอบไปซื้อกาแฟร้านโปรด(กาแฟลุงแจ่ม)มาดื่มที่ใต้ถุน(สวนใหม่)คณะนิติศาสตร์นั้น ผมก็พบกับอาจารย์ใหม่รุ่นน้องท่านหนึ่ง คือท่านอาจารย์ยอดพลกำลังคุยกับนิสิตอยู่ เรื่องการเรียนการสอน ผมก็เลยไปร่วมวงด้วย อาจารย์ยอดเล่าให้ฟังว่า วิธีการสอนของอาจารย์นั้นท่านใช้วิธีให้งานนิสิตมาฝึกหัดเขียนทุกคาบเรียน โดยเฉพาะนิสิตนอกคณะทั้งนี้เพื่อฝึกทักษะให้นิสิตเขียนเป็นและ จะได้ไม่เสียอารมณ์เวลาตรวจข้อสอบเพราะนิสิตได้ 0 ตลอดจนนิสิตมีทักษะในการเขียนติดตัวไปใช้ในวิชาอื่นด้วย ... อืม นับถือ นับถือ
จากการฟังที่ท่านเล่าแล้ว ผมคิดว่าท่านเป็นอาจารย์ที่ดูแลลูกศิษย์ดีมาก
อีกอย่างหนึ่งท่านเล่าให้ฟังว่าท่านสอนรายวิชาความรู้เบื้องต้นกฎหมายทั่วไปให้กับนิสิตจิตตวิทยา ก่อนสอนท่านก็ไปเอาเอกสารประกอบคำสอนของนิสิตมาอ่านก่อน แล้วก็โยงเรื่องแนวคิดทางจิตตวิทยาโดยเฉพาะ เรื่อง INSTINCTของซิกมัน ฟรอยด์ มาผูกกับเรื่องแนวคิดกฎหมายธรรมชาติที่ว่า กฎหมายนั้นคือเหตุผลที่ถูกต้อง ซึ่งแนวคิดหนึ่งของกฎหมายธรรมชาติก็เชื่อว่า เหตุผลที่ถูกต้องนี้มาจากจิตใจที่เป็น มโนธรรม (Super EGO)ของเรานี่อง ไอ้ตรงที่ขีดเส้นนี้ผมได้จากการคุยกับอาจารย์รุ่นน้องอีกท่าน คือท่านอาจารย์สุดา หวังสู่วัฒนา อืม.... ล้ำลึก ล้ำลึก
โดยส่วนตัวผมเป็นคนที่ชอบคุยกับคนอื่นอยู่แล้วโดยเฉพาะผู้รู้คนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แต่เหตุการณ์นี้ช่วยเตือนให้ผมทราบว่า
1. ถ้าเราพยายามละอัตตาในตนแล้ว ฟังคนทุกคนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ เราก็จะมีความรู้เพิ่มมากขึ้น และได้เห็นมุมมองอะไรที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย คนเรายิ่งโตเป็นผู้ใหญ่ ยิ่งไม่มีใครเตือนต้องอาศัยเราเตือนตัวเราอง และดูแนวปฏิบัติคนอื่นๆ มาปรับปรุงตัวเรา
2. สมองคนนั้นต้องได้รับการดูแลใส่ข้อมูลดีๆ เข้าไปเสมอจะช่วยให้เราเกิดความคิดดีๆ เคยมีพี่ๆ ที่นับถือกันส่งPower Point มาให้เป็นเรื่องเกี่ยวกับชายตัดฟืน เนื้อความมีคร่าวๆว่า
ชายตัดฟืนเดินไปสมัครทำงานกับเจ้าของร้านขายฟืน เจ้าของร้านก็รับไว้ และชายตัดฟืนก็ทำงานอย่างขยันขันแข็ง วันแรกชายตัดฟืนตัดไม้(ทำลายสภาพแวดล้อม 555) ได้ 10 ต้นใหญ่ และได้รับคำชมเชยจากเจ้าของร้านมาก อาทิตย์ถัดมาชายตัดฟืนก็ยังทำงานอย่างขยันขันแข็งเช่นเดิม แต่กลับปรากฏว่า เขาตัดต้นไม้ได้เพียง 9 ต้นต่อวัน ชายตัดฟืนงงมาก พร้อมสัญญากับตนเองว่าอาทิตย์ถัดไปจะเริ่มงานให้เช้าขึ้นเพื่อให้ได้ต้นไม้มากเท่าเดิม... แต่
อาทิตย์ ต่อมาปรากฏว่า เค้าตัดต้นไม้ได้ 7ต้นต่อวัน ...
เค้ายังคงพยายามต่อไป และต่อไป อาทิตย์แล้วอาทิตย์เล่าจนเวลาล่วงเลยไปอีก 1 เดือน ปรากฏว่าเค้าตัดต้นไม้ได้เพียง 3 ต้นต่อวัน...
ชายตัดฟืนหมดแรงใจพร้อมแบกขวานไปคืนเจ้าของร้านพร้อมลาออก
เจ้าของร้านถามเหตุผล ซึ่งชายตัดฟืนก็เล่าให้ฟัง...
เจ้าของร้านถามอีกว่า เธอรู้ไหมทำไมเธอทำงานได้ผลน้อยลงทั้งที่เธอได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว
ชายตัดฟืนส่ายหน้า...
เจ้าของร้านยิ้มพร้อมแนะให้ชายตัดฟืนหันไปมองขวานของตน...
ชายตัดฟืนพึ่งทราบความจริงนี้เอง
ขวนของชายตัดฟืนไม่เหลือคมเลย นี่เองเป็นสาเหตุหลักให้ตัดไม้ไม่เข้า
เธอลับขวานของเธอครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?....
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนเราต้องเรียนรู้อยู่เสมอ นอกจากทำงานแล้วต้งมีเวลาที่จะพักหาสิ่งดีรอบตัวเรา ความรู้มาลับสมอง พัฒนาตนเองให้คมอยู่เสมอ มิฉะนั้นแม้ทำงานไปก็ไม่ได้ผลอย่างเต็มที่ อย่างที่หวัง
คุณลับขวานของคุณครั้งสุดท้ายเมื่อไหร์ !?!
เห็นด้วยค่ะ เปรียบขวานเหมือนกับสมอง ถ้าไม่หัดคิดและฝึกฝน สมองเราก็เหมือนขวานที่ขึ้นสนิมและบิ่น
การเรียนรู้ของทุกคนสามารถทำได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ เพียงแต่เรากล้า ที่จะเปิดใจพร้อมรับสิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะจากตัวบุคคล ธรรมชาติ สภาพแวดล้อมฯลฯ บางครั้งรู้สึกเลยว่าเมื่อเวลาที่เป็นทุกข์ ไม่สบายใจ พอเราได้เรียนรู้อะไรมากขึ้นจากสิ่งต่างๆ มันทำให้เราเข้าใจมากขึ้น ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ทำให้เราเปลี่ยนมุมที่ใช้มองเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้น และเก็บเอาไว้ใช้เตือนใจตนแล้วรู้จักเลือกที่จะนำมาปฏิบัติให้เหมาะกับตนเอง แต่การที่เรารู้มากๆแล้วนั้นจำเป็นอย่างที่สุดที่จะต้องเตือนตัวเองไม่ให้ติดยึดในอัตตา ว่ารู้ เพราะบางครั้งสิ่งที่เราคิดก็อาจแตกต่างจากคนอื่น คนเราทุกคนมีความคิดเห็นแตกต่างกันเป็นเรื่องธรรมดา ที่คนอื่นคิดต่างจากเราก็เพราะปัจจัยหลายอย่าง ดังนั้น ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติของบุคคล เราก็ลดอคติได้ง่ายขึ้น สำคัญคือการทำความเห็นของแต่ละฝ่ายให้ถูกต้อง ต่างฝ่ายต่างต้องให้และต้องรับ เป็นความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างที่อาจารย์บอกงัยคะว่าการทำสิ่งต่างๆให้สอดคล้องกับธรรมชาติเพราะธรรมชาติต่างเกื้อกูลซึ่งกันและกัน การเรียนรู้ก็เช่นเดียวกับความสอดคล้องกับธรรมชาติค่ะ
จิงครับอาจารย์ แต่สิ่งที่อยากแลกเปลี่ยนเรียนรู้คือ ทำไมนักกฎหมายหรือบรรดาอาจารย์ส่วนใหญ่ไม่คอดแบบอาจารญืละครับ
ทุกคน(นักกฎหมายรวมถึงอาจารย์ต่างๆ) คิดว่าตัวเองเก่งมากๆๆๆ
ไม่ใคร่ที่จะรับความเห็นของคนอื่น
ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆในการปฏิบัติงาน
อันเกิดจากการทำหน้าที่การงานของคนๆนั้น
ผมเองก็มีแค่ปริญญาตรีใบเดียวไม่มีอะไรนอกจากความรู้ที่อาจารย์(ตั้งแต่เด็กจนโต)และจากประสบการณืของตัวเอง หล่อหลอมให้มาเป็นผม
คำถามของผมที่เกิดขึ้นเมื่ออ่านบล็อกของอาจารย์แล้วจึงรู้สึกชื่นชมและยินดีมากที่ยังมีครู(คะ-รุ)อันแปลว่าผู้รู้
ที่ใจกว้าง ลอความเป็นอัตตาของตนมา
ลดความรู้สึกว่าตัวเก่งเหนือคนอื่น มารับฟังความเห็นคนอื่นแล้วนำมาใช้กับตนเอง
นับว่าประเสริฐแท้แห่งวงการนักกฎหมายไทยยย
ที่ส่วนใหญ่เท่าที่ผมเจอมาจะ
มีทิฏฐิสูง ทะนงตัวว่าตัวเหนือกว่าคนอื่นๆ
สุดยอดครับอาจารย์ จารย์คิดได้ใจกว้างๆๆมากก นับถืออาจารย์ครับ
เรียกว่าได้บังเอิญมาอ่านจริงๆเลยค่ะ
อืม...ได้เรียนกฎหมายมา 2 ตัว
ตัวแรกได้ 51 เต็ม 100 คือคาบเส้นพอดี เพราะไม่เข้าใจ ภาษาฟังยากมาก ๆ
พอมาเรียนอีกตัวนึงล่าสุดนี่ มีการบูรณาการเข้ากับสิ่งที่หนุเข้าใจ กับสิ่งที่หนูถนัด คือวิชาทางสาขาจิตวิทยาอ่ะค่ะ เลยรู้สึกสนุกและมีความสุขมาก ๆ
หนุจึงเห็นด้วยกับคำว่า ไหน้าที่ครู คือการเรียนรู้ตลอดชีวิต"
คงเหมือนกันที่อาจารย์ทางหาวิธีการทำให้วิชากฏหมายเข้าใจง่ายโดยวิธีการของอาจารย์
ขอบคุณค่ะ