ปัจจุบันสังคมไทยในโลกาภิวัฒน์ มีบุคลิกภาพแบบเครียด และแบบต่อต้านสังคม ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดความรักความอบอุ่นในครอบครัว และได้รับการเลี้ยงดูที่เข้มงวดด้านการแข่งขันมากเกินไป หรือเลี้ยงแบบปล่อยปละละเลยจนเกินไป ระบบครอบครัวอ่อนแอลง ถือเป็นวิกฤติที่อันตรายมากที่สุดของสังคมไทยเวลานี้ ขณะเดียวกัน คนก็ห่างธรรมชาติมากขึ้น มีการเคลื่อนไหวน้อยลง จนนำไปสู่การสูญพันธุ์ของวัฒนธรรมในอดีตถูกกลืนโดยวัฒนธรรมตะวันตก
คนรุ่นใหม่ในสังคมโลกาภิวัตน์มีลักษณะ เช่น ใช้บัตรเคดิต ใช้คอมพิวเตอร์ ใช้การสื่อสาร
ปัจจุบันการใช้ พรบ. การศึกษาแห่งชาติฉบับปัจจุบันก็มีทั้งดีและไม่ ในเรื่องการสอนแบบครูเป็นศูนย์กลางมีประโยชน์ และเหมาะสมกับการสอนเนื้อหาหลายๆอย่าง แต่ว่าการเรียนการสอนควรจะมีทางเลือกอื่นๆที่น่าสนใจและก่อให้เกิดการเรียนรู้ได้ดีเช่นเดียวกันหรืออาจจะดีกว่า มีการใช้เทคนิคการสอนที่เน้นกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นหลัก ซึ่งจะมีทั้งทักษะการสอนแบบครูเป็นศูนย์กลางและผู้เรียนเป็นศูนย์กลางผสมผสานกันไป โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมมากขึ้น ให้เขาได้ใช้ความสามารถของเขาตามทางที่เขาถนัด
แต่จะมีบ้างส่วนบางข้อของ บรพ. การศึกษาแห่งชาติก็มีข้อผิดพลาดอยู่ในหลายด้านในทางปฏิบัติ
เยาวชนจะดีได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับพื้นฐานครอบครัวกับการศึกษาควบคู่กันไป เพราะเยาวชน คือทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพสมบูรณ์ทั้งร่างกายจิตใจและสติปัญญา
พรบ.การศึกษา แห่งชาติ ผ่านมาแล้วหลายปี แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนและชุมชน ยังมองไม่ค่อยเห็นเป็นรูปธรรม
การปฏิรูปว่าสามารถเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาคนไทย ๆ
1. การเพิ่มคุณภาพคนไทยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน จะปรับเปลี่ยนหลักสูตรและวิธีเรียนมีแหล่งเรียนรู้เพิ่มขึ้น มีการสนับสนุนการเรียนรู้ของชุมชน โดยมีความพร้อมในโครงสร้างการบริหารจัดการที่เอื้อตอการดำเนินงานในระดับต่าง ๆ
2. การเพิ่มความเสมอภาคและสิทธิทางการศึกษา คนไทยทุกคนจะได้รับการศึกษาภาคบังคับ 9 ปี มีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีคุณภาพไม่น้อยกว่า 12 ปี โดยรัฐไม่เก็บค่าใช้จ่าย สามารถศึกษาได้ทุกเมื่อและหลายรูปแบบ มีมาตรการสนับสนุนทางการเงินหรือมาตรการต่าง ๆ แก่ผู้ด้อยโอกาส ผู้ยากจน ผู้พิการ จะเพิ่มความเป็นธรรมยิ่งขึ้น มีระบบประกันคุณภาพ มีครูและผู้บริหารที่มีคุณภาพ
3. การมีส่วนร่วมของประชาชนตามหลักการคนทั้งมวลเพื่อการศึกษา เป็นระบบเปิดให้โอกาสประชาชน ครอบครัว องค์กรเอกชน ชุมชน ฯลฯ เข้ามามีส่วนร่วมจัดการศึกษาในกระบวนการต่าง ๆ ตั้งแต่การคิดการวางแผน การจัดทำหลักสูตร การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลได้ในรูปแบบและวิธีการต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้สามารถจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับสภาพความต้องการของท้องถิ่นและผู้เรียนมากยิ่งขึ้น
คิดว่าการที่พรบ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542
หมวด ๔มาตรา ๒๒ การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ
เป็นการเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ดังนั้นจึงมีการปฏิรูปการเรียนการสอนใหม่ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง คิดวิเคราะห์ สังเคราะห์เป็น และสามารถนำไปใช้ในการดำรงชีวิตได้ เพื่อให้เป็นพลเมืองที่ดีของสังคมและประเทศชาติ ซึ่งครูจะต้องมีทั้งศาสตร์และศิลปในการสอนด้วย และเปลี่ยนบทบาทตัวเองเป็นผู้จัดการการเรียนรู้และคอยให้คำแนะนำหรือส่งเสริมให้ผู้เรียนได้แสดงศักยภาพที่ตนมีออกมาให้เต็มที่ซึ่งดูจะเป็นงานหนัก แต่ก็พยายามพัฒนาตนเองอยู่เสมอเพื่อให้เยาวชนเหล่านี้เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศต่อไป
เมื่อมองถึงเยาวชนในปัจจุนันซึ่งอยู่ในยุคโลกาภิวัฒน์ ไฮเทคโนโลยี การสื่อสารไร้พรหมแดน วัฒนธรรมต่างชาติเข้ามามีบทบาทกับวัยรุ่นมากขึ้น จนบางทีหลงลืมวัฒนธรรมอันดีงามของไทยไป อย่างเช่นการทักทาย การแสดงความเคารพ การแต่งกายรัดกุม ภาษาวัยรุ่น และอื่นๆที่รับของเขามาและอื่น ๆ อีกที่วัยรุ่นแสดงออกมาให้เห็นในปัจจุบัน ทำให้ความคิดและอุปนิสัยที่สุภาพอ่อนหวาน กลับกลายเป็นความก้าวร้าว แต่งกายไม่สุภาพ ภาษาที่บัญญัติขึ้นใหม่แบบวัยรุ่น ให้รู้สึกว่าสังคมไทยที่ดีแบบเดิมมันจะพังพินาศไปเพราะเยาวชนรุ่นใหม่ที่ไม่รักษาสิ่งเหล่านั้นไว้ เอา!!!เดี๋ยวจะนอกเรื่องไป ในเมื่อเยาวชนไทยเป็นอย่างนี้ ประกอบกับพรบ.เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ก็เปรียบเหมือนดาบสองคม หากครูมีการบริหารการเรียนการสอนไม่ดี ก็เหมือนปล่อยเสือเข้าป่า หากผู้เรียนไม่มีวินัยในตนเอง ไม่ใฝ่รู้ ก็จะใช้เวลานั้นไปใช้ตามใจตนเอง เช่น วิชาคอมพิวเตอร์ หากครูสั่งงานให้นักเรียนค้นหาความรู้ใน Internet โดยจดหัวข้อบนกระดานแล้วปล่อยให้เด็กเรียนรู้ด้วยตนเอง เด็กที่สนใจใฝ่รู้ก็จะทำตาม แต่หากเด็กที่ไม่สนใจเรียนก็จะแอบเข้าไปเล่นเกม หรือเข้าเว็บที่ตนสนใจ อย่างนี้ แสดงว่าครูไม่ได้วางแผนการสอนที่ดี และเด็กก็ไม่เกิดการเรียนรู้ และอาจก่อนให้เกิดพฤติกรรมการเลียนแบบ พฤติกรรมก้าวร้าว และอื่น ๆ หากครูทำโทษด้วยการตีก็จะเกิดปัญหา เพราะตอนนี้มีกฏหมายและมูลนิธิต่าง ๆ ที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือเยาวชนเหล่านี้ ดิฉันคิดว่า การทำโทษด้วยการตีก็ไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายอะไร หากครูไม่ทำเกินกว่าเหตุซึ่งการทำโทษแบบนี้ก็เราก็ผ่านมาในวัยเด็กก็ไม่ได้ทำให้เรามีความทรงจำอันเลวร้ายอะไร และไม่ได้ทำให้เราเกิดความหวาดกลัว ยังคงไปเรียนตามปกติ (ต้องขอโทษด้วยนะหากความคิดเห็นเรื่องการตีนี้ไม่ตรงกับใคร) แต่ก็เข้าใจเพราะความแรงในการตีมันวัดกันไม่ได้ กำหนดไม่ได้ว่าความแรงระดับใดถือว่าเป็นการทำเกินกว่าเหตุ แต่คำโบราณบอกว่า รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี น่าจะหยิบมาใช้บางในบางโอกาส แต่การทำโทษแบบนี้ผู้ปกครองคงไม่เห็นดีด้วย เพราะเขาเลี้ยงลูกแบบยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม โดยเฉพาะผู้ที่มีฐานะดี แต่หากเขาได้สังเกตพฤติกรรมลูกให้ดี (ถ้ามีเวลาให้กับลูก)และไม่เข้าข้างลูกจนเกินไป จะเห็นว่ากิริยามารยาท คำพูด การแต่งกาย ผลการเรียน วัฒนธรรมไทยที่ดี การใช้เวลาว่างทำสิ่งใด ลูกคุณเป็นอย่างไร หากหาคำตอบในแต่ละหัวข้อได้ก็จะพบกับตัวตนที่แท้จริงที่ลูกคุณเป็นในขณะนั้น แต่ต้องเปิดใจด้วยนะ ก็จะรู้ว่าคำโบราณที่ดีมีอยู่มาก หยิบมาใช้กันบ้างก็จะดี
อ่านความคิดเห็นนี้แล้วคิดว่าพี่คงพอจะรู้คำตอบของผึ้งนะคะ
ทุกวันนี้เยาวชนนั้นมีทั้งที่ปฏิบัติไปในทางที่ถูกต้อง และปฏิบัติตัวในทางที่ไม่ดี อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและตัวของเยาวชนเองว่าเขาจะตัดสินใจเลือกทำในสิ่งใด บางคนอาจเลือกในสิ่งที่ถูกต้อง แต่บางคนอาจเลือกทำในสิ่งที่ตนเองชอบ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลคะ
พรบ.การศึกษาแห่งชาติปี2542ได้บัญญัติไว้ดีแล้ว แต่การนำมาปฏิบัติให้เป็นไปตามพรบ.ต้องใช้เวลา และต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ในเรื่องการจัดงบประมาณให้โรงเรียน การปกครองระดับทองถิ่น สถานศึกษา คณะครู และตัวนักเรียน ซึ่งกลไกลสำคัญที่จะผลักดันให้ฟันเฟืองทำงานได้ดีก็เห็นจะเป็นกลไกลเล็ก ๆ แต่มีพลังที่ยิ่งใหญ่ คือครู และ ลูกศิษย์ หากครูมีการพัฒนาตนเอง มีการจัดการกับการเรียนการสอนที่ดี ถ่ายทอดคุณธรรม จริยธรรม เอกลักษณ์ความเป็นไทย และความมีประชาธิปไตยของชาติ ปลูกฝังค่านิยมที่ดี ฝึกให้มีนักเรียนมีระเบียบวินัย มีใจโอบอ้อมอารีย์ มีเมตตา และอื่น ๆ อีกที่เป็นรายละเอียดในการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพของศิษย์ ให้เขาเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ และศิษย์ก็น้อมรับคำสั่งสอนด้วยจิตใจใฝ่รู้ ใฝ่ดี เท่านี้ประเทศก็จะเจริญได้ไม่ยาก แต่สังคมปัจจุบันในยุคโลกาภิวัฒน์ เน้นวัตถุนิยม มีอิสระในการคิดมากขึ้นและเด็กไทยสมัยนี้กล้าคิดกล้าทำมากขึ้น ที่คิดดีทำดีก็มี แต่ที่คิดไปในทางที่ผิด ปฏิบัติตนไปในทางที่ไม่ควรก็มีเยอะ เพราะสิ่งเร้ามีมาก ความอบอุ่นในครอบครัวน้อยลงเพราะพ่อแม่ต้องทำงานหาเงินมาซื้อความสุข ซึ่งก็เป็นปัญหาของสังคม เด็กประเภทนี้น่าสงสาร ทำให้มีพฤติกรรมที่แสดงออกหลายรู้แบบ เมื่อมาโรงเรียนก็จะไม่ตั้งใจ สร้างปัญหาให้ครู และผูปกครอง และสังคม ดังนั้นหากทุกฝ่ายร่วมมือกันอนาคตของชาติในวันนี้จะมีชีวิตที่ดีอยู่ในสังคมในปัจจุบันนี้ได้อย่างมีคุณภาพ
การปฏิบัติตัวต่อผู้เรียนถือว่าคุณครูสมัยนี้จะต้องมีความอดทนต่อพฤติกรรมเด็กมากกว่าเด็กวัยรุ่นสมัยก่อนมาก ๆ ครูต้องปรับตัวให้เข้ากับเด็กได้ เพราะเด็กสมัยนี้มีความเชื่อส่วนตนเองมากกว่าเชื่อผู้ปกครอง เด็กยุคใหม่สมัยนี้มีความกร้าวร้าวค่อนข้างสูง ขาดระเบียนวินัยในตนเอง ไม่มีความเคารพนอบน้อมผู้ใหญ่เท่าที่ควร เรนื่องมาจากสาเหตุที่ว่ากฏของการเป็นครูที่ห้ามตีเด็กเมื่อเด็กทำผิด ทำให้เด็กได้ใจ ไม่เกรงกลัวต่อความผิดที่ตนกระทำ
การเรียนการสอนแบบที่ให้เด็กรู้จักคิดและรวบรวมความคิด เพื่อสรุปรวบยอด ถือว่าเป็นการเรียนรู้ที่ดีกรณีที่ครูสามารถสรุปประมวลผลที่เด็ก ๆ ได้ไปหาและรวบรวมมาได้