เปลือยประสบการณ์….. ถอดความรู้.....คุณอำนวย?
กับงานส่งเสริมการเกษตร
ในวันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม
2548 ณ ห้องประชุมกรมส่งเสริมการเกษตร (ชั้น
5)
ได้มีการระดมพลังความรู้และประสบการณ์ที่ผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้
หรือ Facilitator ได้สั่งสมการเรียนรู้มาเป็นเวลาช้านาน
บางคนเกือบตลอดชีวิตที่ได้ทำงานในเรื่องนี้
แต่โดยเฉลี่ยแล้วมีองค์ความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม
ประมาณ 3 – 10 ปี ซึ่งวันนี้ผู้รู้เหล่านี้ได้มารวมกัน
ประมาณ 190 คน
ที่เป็นบุคลากรของกรมส่งเสริมการเกษตรทั่วประเทศเพื่อมาเสวนาแลกเปลี่ยน
ประสบการณ์ระหว่างกันมีทั้งสิ่งที่ตัวเองรู้และสิ่งที่ตัวเองไม่รู้
ที่เกิดขึ้นจากการค้นหาและการพัฒนาตนเองตามสถานการณ์และสถานที่ต่างๆ
ที่เป็นเวทีให้เกิดการเรียนรู้และทดลองทำอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเขาเหล่านี้มีจิตสำนึกของการทำงานเพื่อองค์การและส่วนรวม
เขาเหล่านี้ลืมคำว่า “เพื่อตัวเอง”
ทุกคนขวนขวายและดิ้นรนเพื่อให้หน่วยงานส่งเสริมการเกษตรมีเนื้องานและ
องค์ความรู้เป็นของตนเอง
บางครั้งต้องคิดและทำงานนอกกรอบหรือนอกเส้นทางเดินที่คนอื่น
ขีดไว้ให้ แต่ทุกคนมีสิ่งหนึ่งที่ห่วงใยก็คือ
เกษตรกร
“
ทำอย่างไรให้เกษตรกรพึ่งพิงตนเองได้ ”
“
ทำอย่างไรให้เกษตรกรทำอาชีพเกษตรกรรมได้ตลอดรอดฝั่ง ”
“
ทำอย่างไรให้ทั้งเราและเขาอยู่รอดปลอดภัย
”
สันติสุขของอาชีพจึงเดินทางเข้ามาหากัน
ต่างมาหาความร่วมมือ ความร่วมความคิด และ
ความ ร่วมงานที่จะไปด้วยกัน ที่เรียกว่า
เปลือยประสบการณ์..... ถอดความรู้.....คุณอำนวย?
วันหนึ่ง ที่เป็นวันนี้
ที่ทุกคนต่างมีคำถามเกิดขึ้นมากมายกับการทำงานมีส่วนร่วม
“ ตกลงแล้วมันคืออะไรกันแน่
”
“ แล้วที่ฉันทำไปนั้น
มันใช่หรือเปล่า”
“ เรื่องนี้เขาทำกันมาตั้งนานแล้ว
ไม่ใช่เรื่องใหม่ ”
“ พูดกันนัก พูดกันหนา แล้วจะเอายังไงกันแน่
”
เป็นเรื่องจริงที่มีการกล่าวขานกันมาช้านาน (ประมาณ 3 –
10 ปี) ทุกคนต้องการคำตอบจาก คำถามที่เกิดขึ้น
บางคนเดินทางไปแสวงหาคำตอบจากผู้รู้ต่าง ๆ
และบางคนมีวิธีหาคำตอบโดยการจดจำและฟังผู้อื่นพูด
แต่ก็ได้มีคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นพลังสมองในการกระทำเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นและมองเห็นเป็นรูปธรรมออกสู่สาธารณชน
เพราะ “ถ้าองค์การอยู่รอดเราก็อยู่รอด”
และ
“ถ้าเกษตรกรอยู่รอดเราก็อยู่รอด”
ดังนั้น แล้วใครละที่จะทำให้สิ่งนี้อยู่รอดได้ ถ้ามิใช่ “
ตัวเราเองเป็นผู้สร้างและลงมือทำมันขึ้นมา ”
เวลาของการเรียนรู้ยังมีอีกยาวนาน
แต่เวลาของการสร้างสิ่งที่มีคุณค่าและทันกับความต้องการนั้นมีไม่มากนัก
“
ตกลงแล้วเวลาของการเรียนรู้นั้นพอแล้วหรือยัง”
“ตกลงแล้วเวลาของการสั่งสมประสบการณ์พอแล้วหรือยัง”
“ตกลงแล้วการเรียนรู้และประสบการณ์นำไปใช้ได้หรือยัง”
“ตกลงแล้วเราจะพูดกันไปเรื่อย ๆ หรือ
จะลองหันมาลงมือทำกัน”
ทุกคนต่างพูด ทุกคนต่างให้ข้อคิดเห็น
และทุกคนต่างรู้เรื่องต่าง ๆ ไปทั้งหมด
งานส่งเสริมการเกษตรที่เป็นภารกิจและกำลังดำเนินการกันอยู่นั้น
“ กำลังต้องการนักธรรม ” (ธรรม หมายถึง
ผู้ทำหน้าที่ที่ปฏิบัติของตนเอง) ที่จะมาช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
ดังนั้น
การพัฒนาบุคลากรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานส่งเสริมการเกษตรแบบมีส่วนร่วม
(Facilitator) จึงได้เปิด “ เวทีอย่างเป็นทางการ ”
ขึ้นเพื่อคนทุกคนที่อยากรู้ ทุกคนที่อยากจะฟัง
ทุกคนที่อยากจะแลกเปลี่ยน และทุกคนที่อยากจะเติมองค์ความรู้
ให้กับตนเอง
การสั่งสมองค์ความรู้ของแต่ละบุคคลที่เป็นนักวิจัยธรรมชาติที่มีความสมัครใจทำกันนั้น
ได้มีสื่อกลางที่จัดโอกาสให้มาหาข้อสรุปร่วมกันโดยเรียกว่า
“ข้อสรุป : Facilitator”
ได้ทำหน้าที่จัดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้กับทุกคน
ซึ่งเมื่อมีการเสวนากัน มีประเด็นพูดคุย องค์ความรู้ต่าง
ๆ เกิดขึ้นมากมาย
เนื้อหาสาระและเนื้องานส่งเสริมการเกษตรก็มีเกิดขึ้นเป็นของตนเอง
เพราะต่างคนต่าง“แพร่กระจายนวัตกรรมการเรียนรู้”ที่ค้นพบและนำเอามารวมกันไว้เพื่อสรุปร่วมกัน
คือ
1. การพัฒนาตนเองให้เป็น
“Facilitator” ที่ดีควรทำอย่างไร?
2. บทบาทหน้าที่ของ “Facilitator”
ในงานส่งเสริมการเกษตรมีอะไรบ้าง?
3. ข้อคิดจากความล้มเหลวในการเป็น
“Facilitator”
4. เงื่อนไขสำคัญที่สนับสนุนการเป็น
“Facilitator”
5.
เทคนิคและเครื่องมือในการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของ
“Facilitator”
6. วิธีการพัฒนาเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรให้เป็น
“Facilitator”ที่ดีควรทำอย่างไร
7. เรื่องที่อยากจะคุยเกี่ยวกับ
“Facilitator” (กลุ่มคิดประเด็นเอาเอง)
สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ทุกคนได้ประมวลข้อมูล อภิปรายแลกเปลี่ยน และสรุปเป็นองค์ความรู้ของกลุ่ม ซึ่งขณะที่ทำการให้และรับข้อมูลระหว่างกันนั้น บรรยากาศการสนทนามีแต่มิตรภาพและเพื่อนร่วมแนวคิดเดียวกัน
สุดท้าย ของการเสาะแสวงหาองค์ความรู้ “ คุณอำนวย..... คือใคร?
ทำอะไร? อย่างไร?
กับงานส่งเสริมการเกษตร”
ทำให้เห็นความร่วมมือร่วมใจที่เกิดจากหยาดเหงื่อ แรงกาย
และ แรงใจ
ที่ทุกคนซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรได้ทำการ
“สร้างนวัตกรรมทางการถ่ายทอดความรู้”
ให้กับเนื้องานส่งเสริมการเกษตรขึ้น โดยการทำบทบาทและหน้าที่ของ
“นักส่งเสริมการเกษตรมืออาชีพ” และถือได้ว่า “นักส่งเสริมการเกษตรสายพันธุ์ใหม่”
ได้ถือกำเนิด และเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ
โดยบุคลากรชุดนี้ได้ปรับบทบาทของตนเองให้ทำหน้าที่เป็น “Facilitator” หรือ “
ผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ให้กับเกษตรกร”
ที่ยอมละและลดบทบาทของตนเองจากที่ยึดตนเองเป็นศูนย์กลางในการถ่ายทอดเทคโนโลยี
มาเป็น ยึดเกษตรกรเป็นศูนย์กลางแทน
นับเป็นนิมิตหมายของการเปลี่ยนแปลงตนเองให้ก้าวทันเทคโนโลยีและสภาพ
แวดล้อมได้ทัน.
ศิริวรรณ
หวังดี เขียน
ไม่มีความเห็น