ปลาพะยูน
คำนำ
พะยูนเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่ในทะเลและกินหญ้าทะเลเป็นอาหาร
ลักษณะโดยทั่วไปที่มองเห็นพะยูนก็คือมีรูปร่างคล้ายโลมาอ้วน
ๆ
ขนาดและรูปร่างของพะยูนกับโลมาโดยทั่วไปเมื่อมองจากผิวน้ำดูคล้ายกัน
แต่โดยบรรพบุรุษพะยูนจัดอยู่ใกล้เคียงกับช้างมากกว่าพวกโลมา
พะยูน หมูน้ำหรือวัวทะเล (Sea cow)
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า "Dugong dugon (ดูกอง
ดูกอน)" เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งในจำนวน 4
ชนิดของสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนมในลำดับไซรีเนีย (Order
Sirenia) ซึ่งทุกชนิดจัดว่าเป็นสัตว์ที่มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์
(Endangered species)
พะยูนกลุ่มใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ในพื้นที่ของประเทศออสเตรเลีย
สมาชิกอื่นของพะยูนประกอบไปด้วย มานาตีในพื้นที่เวสอินเดียน
(ฟลอริดา) มานาตีในเขตลุ่มน้ำอะเมซอน
และมานาตีในเขตแอฟริกาตะวันตก มานาตี
ต่างจากพะยูนอย่างชัดเจน คือ
ลักษณะของหางและถิ่นที่อยู่อาศัย
โดยที่มานาตีมีปลายหางกลมแบน และอาศัยอยู่ได้ทั้งในน้ำจืด
น้ำกร่อยและทะเล
ส่วนพะยูนมีปลายหางแฉกและอาศัยอยู่ในทะเลเท่านั้น
พะยูนโตเต็มที่ยาว 3 เมตรเศษและน้ำหนักกว่า 300
กิโลกรัม
ลูกพะยูนแรกเกิดยาวเมตรเศษและน้ำหนักเพียง 20-30
กิโลกรัม
โดยทั่วไปพะยูนที่มีความยาวน้อยกว่า 2
เมตรยังจัดอยู่ในกลุ่มที่มีอายุต่ำกว่า 10
ปี
พะยูนตัวแรก
พะยูนหรือที่ชาวใต้มักนิยมเรียกว่า "ดูหยง" หรือ "ตูหยง"
ซึ่งเป็นคำมลายูคาดว่าเพี้ยนมาจากคำว่าดูกอง (Dugong)
เมื่อราวสัก 40 - 50
ปีมาแล้วยังพอมีพะยูนให้พบเห็นบ้างในจังหวัดภูเก็ต
แต่ในปัจจุบันแทบจะไม่ได้ข่าวคราวการพบเห็นพะยูนเลย
เมื่อวันที่ 26
มิถุนายน 2522
สถาบันวิจัยชีววิทยาและประมงทะเล จังหวัดภูเก็ต
(ศูนย์ชีววิทยาทางทะเลในขณะนั้น)
ได้รับมอบพะยูนมีชีวิตตัวแรกจากทับละมุ จังหวัดพังงา
เป็นพะยูนเพศเมีย ลำตัวยาว 165
ซม.
ถูกจับได้เนื่องจากติดอวนลอยของชาวประมง
พะยูนตัวนี้นับได้ว่าเป็นพะยูนตัวแรกของประเทศไทยที่ได้นำมาอนุบาล
ได้รับความสนใจมาก
มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาชมแน่นขนัดเกือบทุกวันจากทั้งในจังหวัดภูเก็ต
พังงาและจังหวัดใกล้เคียง
แม้หลายคนจะพบกับความผิดหวังที่ไม่ได้พบ "เงือกสาว"
ตามที่เคยได้ยินมา แต่ก็ได้รู้จักว่า "พะยูน"
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่กินหญ้าทะเลเป็นอาหารนั้นมีรูปร่างหน้าตาจริง
ๆ เป็นอย่างไร
และที่จริงแล้วพะยูนไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับ "เงือก"
อย่างที่ชาวเรือโบราณเล่าขานเป็นนิยายของคนเดินเรือใด ๆ
ทั้งสิ้น
พะยูนในจังหวัดภูเก็ต
สองปีต่อมา ในวันที่ 2 มีนาคม
2524
สถาบัน ฯ ได้รับพะยูนเพศผู้ตัวใหญ่มาก ยาวถึง 2.80
เมตร หนักราว 300
กิโลกรัม
จากอ่าวตังเข็นด้านทิศใต้ของเกาะและอยู่ติดกับสถาบัน ฯ
(ดูแผนที่ประกอบในรูปที่ 6)
พะยูนเคราะห์ร้ายตัวนี้มัวหลงเพลินกับการกินหญ้าทะเลอยู่ในขณะที่น้ำยังเต็มฝั่งจนกระทั่งน้ำลงจนแห้งขอดจึงไม่สามารถว่ายน้ำกลับออกไปได้
เจ้าหน้าที่ของสถาบันฯ ได้รีบรุดไปดู
แต่เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ไม่สามารถช่วยชีวิตพะยูนตัวนี้ได้
จะเห็นได้ว่าพะยูนเป็นสัตว์ที่น่าสงสารมาก
นอกจากจะไม่มีอวัยวะใด ๆ
ที่ใช้เป็นเครื่องป้องกันตัวมันเองแล้ว
มันยังตายง่ายมากดังเช่นกรณีนี้
เพียงติดแห้งอยู่หรือติดอยู่ในโป๊ะมันจะพยายามดิ้นรนหาหนทางสู่อิสรภาพ
จนได้รับความบอบช้ำมากและตายภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
ราว 6
เดือนต่อมา (25
สิงหาคม
2524)
สถาบันฯ ได้พะยูนเพศผู้มีชีวิต ความยาว 1.80
เมตร ซึ่งติดอวนลอยปูจากอ่าวปอ
พะยูนตัวนี้ได้เสียชีวิตจากอนุบาลได้เพียง 77
วัน
(รูปที่ 2)
ในปีถัดมาสถาบันฯ
ได้รับลูกพะยูนเพศผู้อีกตัวมีความยาว 1.20
เมตร
ติดอวนลอยบริเวณอ่าวมะขาม (เยื้องเกาะตะเภาใหญ่)
ลูกพะยูนตัวนี้มีอายุในบ่อเลี้ยงได้ 111
วัน
นับแต่วันนั้นมานานร่วม 20 ปี
เราไม่ได้ข่าวคราวของพะยูนในจังหวัดภูเก็ตอีกเลย
จนกระทั่งในช่วงสายของวันที่ 2
สิงหาคม 2541
เราถึงได้รับแจ้งจากคุณสมบัติ บุญโตว่า
"มีพะยูนตายที่ท่าเรือน้ำลึก
และขณะนี้ได้นำซากพะยูนไปไว้ที่บ้านของคุณสมบัติที่เกาะสิเหร่
เพื่อให้เพื่อนบ้านได้ดู"
ด้วยเหตุที่พะยูนเป็นสัตว์น้ำที่หายากมาก
หากใครมีโอกาสได้เห็นก็นับว่าเป็นบุญตา คุณสมบัติเล่าว่า
"ขณะที่ตนกับพรรคพวกอีก 4
คน คือ คุณสุชาติ เสนแก้ว
คุณถาวร ศรีน้ำทอง คุณอำนาจและคุณสำราญ เจ้ยแก้ว
กำลังสาวอวนลอยปูที่บริเวณท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต
ห่างจากท่าเรือราว 500
เมตร
น้ำลึกประมาณ 10
เมตร
รู้สึกเหมือนมีตัวอะไรดิ้นอยู่ใกล้ ๆ อวนของตน
ทีแรกนึกว่าเป็นฉลาม และเห็นไว ๆ
คล้ายกับว่าสัตว์น้ำตัวนั้นทะลึ่งขึ้นมา
พอเรือเข้าใกล้ถึงรู้ว่าเป็นพะยูนตายลอยอยู่จึงช่วยกันกับเพื่อนลากพะยูนขึ้นเรือ"
คุณอำนาจยังบอกอีกด้วยว่า
"คิดว่าพะยูนตัวนี้ถูกเรือชนตายแน่"
ตอนแรกที่ฟังคุณอำนาจบอก ผู้เขียนไม่สู้ปักใจเชื่อนัก
เพราะว่ารอยช้ำด้านซ้ายเยื้องไปทางช่วงท้ายของลำตัวนั้นเห็นเป็นเพียงรอยถลอกขนาดเล็ก
ๆ ยาวเพียง 5-6
เซนติเมตรเท่านั้น (รูปที่
3)
ผู้เขียนได้นำซากพะยูนกลับมาที่สถาบันฯ
เพื่อผ่าศึกษาชันสูตรซาก
พะยูนเพศผู้ตัวนี้มีความยาว 2.19
เมตร
และหนัก 184
กิโลกรัม
จัดว่ายังเป็นพะยูนวัยรุ่น อายุราว 10
ปีต้น
ๆ ขณะที่ทำการตรวจสอบลักษณะภายนอกอยู่นั้น เห็นดวงตาใส
ๆ ทั้งคู่ของเจ้าพะยูนน้อยและอดนึกสงสารจับใจ
ตามันยังใสแป๋วคล้ายตาของเด็กเล็ก ๆ
และหลังการชันสูตรก็เป็นจริงอย่างที่คุณอำนาจบอกไว้ คือ
พะยูนตัวนี้ต้องถูกของแข็งที่มีความเร็วชนอย่างแรง
ประเมินจากตำแหน่งของแผลและรอยแผลแล้วคาดว่าพะยูนน่าจะถูกส่วนของ
"มาดเรือ หรือกระดูกงูเรือด้านหัวเรือ"
ของเรือหางยาวชนในขณะที่ มันขึ้นมาหายใจ
และกำลังจะว่ายกลับลงไปกินหญ้าต่อ สังเกตเห็นว่ายังมีหญ้าสด
ๆ
จำนวนหนึ่งค้างอยู่ในปากผู้เขียนรู้สึกสงสารเจ้าพะยูนเคราะห์ร้ายตัวนี้อย่างจับใจ
เพราะกล้ามเนื้อภายในบริเวณที่ถูกเรือชนเป็นรอยช้ำเลือดยาวถึง
50
เซนติเมตร
และกระดูกสันหลังตรงบริเวณนี้หักถึง 8
ข้อ
มันคงได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัสก่อนที่จะสิ้นลมหายใจ
นอกจากนี้คุณอำนาจยังเล่าเสริมอีกว่า "ราวปลายปี 2540
พบพะยูนขึ้นหายใจ 1
ตัวที่บริเวณหน้าสะพานหิน
ห่างฝั่งราว 1
กิโลเมตร"
เมื่อปี 2543
ที่ผ่านมา
มีข่าวการพบพะยูนในภูเก็ตถึงสามครั้งด้วยกันในบริเวณบ้านป่าคลอก-บางโรงครั้งแรกเมื่อวันที่
25
มกราคม 2543
พะยูนติดอวนตาย บ้านป่าคลอก
ชาวบ้านชำแหละเนื้อไปกิน
เจ้าหน้าที่จากสำนักงานประมงจังหวัดได้เข้าไปตรวจสอบแต่ก็ไม่พบหลักฐานอันใด
ต่อมาวันที่ 10
เมษายน 2543
พะยูนอีกตัวติดโป๊ะที่บางโรง (ติดกับหาดป่าคลอก)
ชาวบ้านได้ช่วยเหลือทันโดยการรีบปล่อยกลับสู่ทะเล
และครั้งสุดท้ายปลายปีเมื่อวันที่ 26
พฤศจิกายน
2543
พะยูนติดอวนปลากะพงตายที่บ้านป่าคลอก
ผู้ไม่ประสงค์ออกนามเล่าว่า "
ตอนเช้ามืดของวันที่
26
พฤศจิกายน
ได้มีการนำซากพะยูนไปชำแหละที่บ้านยามูซึ่งอยู่ติดกับบ้านป่าคลอก
และมีการขายเนื้อพะยูนในหมู่บ้านราคากิโลกรัมละ 80
บาท" ผู้เขียนพร้อมด้วยคุณธงชัย พัฒนกุล
(ผู้ช่วยประมงจังหวัดภูเก็ตในขณะนั้น) ได้ไปตรวจสอบชิ้นเนื้อ
จากประสบการณ์ของผู้เขียนซึ่งคุ้นเคยกับการชันสูตรซากพะยูนมากว่า
10
ปีสามารถยืนยันได้ทันทีว่าชิ้นเนื้อดังกล่าวเป็นเนื้อพะยูนอย่างแน่นอน
การขายพะยูนหรือครอบครองชิ้นส่วนใด ๆ
ของพะยูนเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
ผู้เขียนและคุณธงชัยพร้อมด้วยชาวบ้านจำนวนหนึ่งได้เข้าไปหารือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเรื่องการดำเนินคดีทางกฎหมาย
แต่ท้ายที่สุดสรุปให้เป็นการว่ากล่าวตักเตือนและภาคทัณฑ์ผู้ขายเอาไว้
และยังได้มีหนังสือออกจากผู้ว่าราชการจังหวัดไปยังผู้ต้องสงสัยว่าเป็นเจ้าของอวนลอยปลากะพงที่พะยูนมาติดแล้วตายและเป็นผู้ชำแหละพะยูนขาย
เพื่อขอร้องให้ร่วมมือกับส่วนราชการในการอนุรักษ์พะยูนพร้อมกับให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับการอนุรักษ์สัตว์น้ำหายากชนิดนี้
สำรวจพบพะยูนที่อ่าวปอ
การตื่นตัวกับพะยูนที่พบในระยะนี้
จึงทำให้ผู้เขียนพยายามหาเงินทุนมาเพื่อทำการบินสำรวจในพื้นที่บ้านป่าคลอกและบริเวณใกล้เคียง
ซึ่งก่อนหน้านี้ในปี พ.ศ. 2540
และ 2542
สถาบัน ฯ
เคยได้ความอนุเคราะห์จากกองทัพเรือ
ให้ใช้เครื่องบินเล็กและเฮลิคอปเตอร์ในการบินสำรวจพะยูนบริเวณนี้มาแล้ว
แต่เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าหากจำนวนพะยูนในธรรมชาติมีอยู่น้อยมากและเวลาที่ใช้สำรวจมีจำกัดย่อมทำให้โอกาสที่จะเห็นพะยูนมีน้อยมาก
และในปี 2544
ผู้เขียนได้ร่วมงานกับคุณเอเลนไฮนส์
(Ellen Hines)
จากมหาวิทยาลัยวิคตอเรียในประเทศแคนาดา
สำรวจพะยูนที่บ้านป่าคลอก-เกาะยาวน้อยและยาวใหญ่
โดยได้รับเงินสนับสนุนจากโอเชียนปาร์คฮ่องกง
การสำรวจครั้งนี้เราใช้เครื่องร่อนหรือไมโครไลท์
(Microlite)
ยี่ห้อแอร์โบร์น (Airborne)
เป็นเครื่องร่อนที่มีล้อ 3
ล้อพร้อมเครื่องยนต์
และปีกกว้าง 10
เมตร
ความเร็วสูงสุดประมาณ 150
กม./ซม.
ดังนั้นในการขึ้น-ลงแต่ละครั้งจำเป็นต้องใช้พื้นที่โล่งพอสำหรับปีกและทางวิ่งยาวประมาณ
300
เมตร
เราได้รับความอนุเคราะห์จากอาจารย์ใหญ่โรงเรียนวีรสตรีอนุสรณ์
(คุณขัมน์ สุขาพันธุ์)
ให้ใช้พื้นที่สนามฟุตบอลของโรงเรียนเป็นลานขึ้น-ลงของเครื่องร่อน
การขึ้นลงแต่ละครั้งน่าหวาดเสียวพอสมควร
เพราะสายไฟฟ้าแรงสูงและดงสนอยู่ชิดขอบสนามมาก
ผู้เขียนรู้สึกกลัวว่าจะบินขึ้นไม่พ้นสายไฟฟ้าแรงสูงทุกเที่ยวและภายหลังทราบว่านักบิน
(
คุณนิมิตร สิทธิโรจน์) ก็รู้สึกหวาดเสียวเช่นกัน
เขาบอกว่า "
มันบีบหัวใจทุกครั้งที่ต้องเทคออฟที่นั่น"
แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี เราทำการบินอยู่ 3
วัน ๆ ละ 2
เที่ยว
แต่ละเที่ยวใช้เวลาประมาณ 2-2.5
ชั่วโมง
การบินสำรวจครั้งนี้พบพะยูนกำลังว่ายน้ำอยู่ที่หน้าอ่าวปอหนึ่งตัว
แต่ไม่สามารถถ่ายภาพได้
พะยูนอีกตัวหนึ่งกำลังกินหญ้าอยู่ที่ทิศตะวันออกของช่องเกาะยาวใหญ่
และกำลังว่ายน้ำอยู่อีก 2
ตัว
ทางทิศเหนือของเกาะยาวใหญ่
ชาวบ้านเล่าว่า
นอกจากนี้ปลายปี
2543
ยังได้ออกสัมภาษณ์ชาวประมงเกี่ยวกับพะยูนและหญ้าทะเล
ในชุมชนชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของเกาะภูเก็ตทั้งหมดรวมทั้งตอนเหนือของอ่าวพังงา
คือ บ้านคลองเคียน บ้านหล่อยูง และโคกกลอย
ในอำเภอตะกั่วทุ่ง จำนวนรวมทั้งหมด 119
ครัวเรือน
เครื่องมือประมงชนิดที่ชาวบ้านระบุว่าเป็นอันตรายกับพะยูนหรือทำให้พะยูนตายมากที่สุด
คือ อวนลอยประเภทต่าง ๆ และโป๊ะ รองลงไปเป็นพวกอวนลาก อวนล้อม
และเบ็ดราวกระเบน
สมัยก่อนที่คนยังนิยมบริโภคเนื้อพะยูนอยู่
สนนราคาขายกันที่ 25-50
บาท/กก.
ปัจจุบันการลักลอบขายกันในราคา 80-100
บาท/กก.
ความเชื่อ
แม้ว่าราคาของเนื้อพะยูนดูจะสูงกว่าเนื้อหมู เป็ด
และไก่ก็ตาม
แต่เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่ของยิ่งหามาด้วยความลำบากยากเย็นหรือมีน้อยเหลือเกิน
มักถูกเชื่อว่ามีประโยชน์มหาศาล
เนื้อพะยูนก็เช่นกันชาวบ้านเชื่อกันว่าการกินเนื้อพะยูนเป็นเหมือนยาอายุวัฒนะการปรุงเป็นอาหารก็กระทำได้หลายอย่าง
เช่น แกงกะทิ ผัดพะโล้ ฮ้อง ทอด ผัดเปรี้ยวหวาน
และผัดเครื่องใน
น้ำมันพะยูนใช้ทาแก้ปวดเมื่อยและแก้น้ำร้อนลวก
น้ำตาเป็นยาเสน่ห์
ส่วนกระดูกฝนผสมกับน้ำมะนาวกินแก้พิษจากการถูกเงี่ยงหรือหนามของปลาแทง
เช่น ปลาจ้งม้ง (กระเบน)
เขี้ยวพะยูนใช้เสริมเดือยไก่ในกีฬาชนไก่
และหนังตรงส่วนหลังหั่นตามยาวตามลำตัวแล้วนำไปตากแห้งใช้ทำไม้เท้าได้
ในต่างประเทศ
ก็มีความเชื่อเรื่องการใช้ประโยชน์จากชิ้นส่วนพะยูนเช่นกัน
ชนพื้นเมืองในประเทศออสเตรเลียเชื่อว่าน้ำมันพะยูนใช้รักษาโรคต่าง
ๆ ได้หลายโรค
ในมาดากัสการ์เชื่อว่าน้ำมันพะยูนใช้รักษาโรคไมเกรนได้
นำหนังพะยูนใช้ทำเครื่องหนัง หรือน้ำไปต้มเคี่ยวจนได้กาว
ส่วนเขี้ยวหรืองาพะยูนใช้ทำด้ามกริช
เป็นของที่ระลึกหรือของฝาก
สถานการณ์พะยูนในภูเก็ต
คาดว่ามีพะยูนจำนวนหนึ่งซึ่งอาจอยู่ในราว
10-20
ตัว
อาศัยหากินอยู่ในบริเวณเหนือสุดของเกาะคือท่าฉัตรไชย-บ้านป่าคลอก
ลงไปจนถึงตอนใต้คือบริเวณเกาะตะเภาน้อย-ตะเภาใหญ่และเกาะโหลน
ถึงแม้จะมีชาวประมงบางคนบอกว่าน่าจะอยู่ไปถึงราไวย์
แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันการพบเห็น ในปี 2543
มีผู้พบพะยูนกินหญ้าและขึ้นหายใจที่เกาะตะเภาใหญ่และเกาะโหลน
ซึ่งทั้งสองแห่งนี้มีหญ้าทะเลอยู่พอควร
พะยูนที่พบที่เกาะยาวน้อยใหญ่เมื่อปี 2542
จำนวน
8
ตัวนั้นอาจจะหากินและท่องเที่ยวอยู่ในพื้นที่ระหว่างเกาะยาว-เกาะภูเก็ต
หรือพะยูนที่พบในภูเก็ตอาจเป็นคนละกลุ่มกับพะยูนที่พบที่เกาะยาวก็เป็นไปได้
เรากำลังสำรวจเพื่อหาข้อมูลสนับสนุมากกว่านี้จึงจะสามารถระบุได้แน่นอน
โดยธรรมชาติ
พะยูนเป็นสัตว์ที่อายุยืนยาวถึง 70
ปี
ต้องมีอายุมากกว่า 10
ขึ้นไปจึงจะสมบูรณ์พร้อมที่จะให้กำเนิดลูกได้
ทั้งยังให้ลูกน้อยเพียงครั้งละหนึ่งตัวและต้องเลี้ยงดูลูกอีกนานร่วม
2
ปี ดังนั้นในกลุ่มประชากรน้อย ๆ
โอกาสที่พะยูนตัวใหม่จะเกิดและโตมาทดแทนให้เพียงพอหรือมากกว่าจำนวนตัวที่ตายไปนั้นเป็นไปได้ยากมาก
อย่างไรก็ตามโอกาสเป็นไปได้สูงมากที่พะยูนจะหายไปหรือสูญพันธุ์ไปจากท้องทะเลของเกาะภูเก็ต
http://www.nicaonline.com/articles9/site/view_article.asp?idarticle=186