จากการอยู่วงในของการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบราชการทั้งในทางทฤษฎีและภาคปฏิบัติจริงในสนาม
และได้นำมาเขียนเป็นบันทึกเกี่ยวกับการจัดการความรู้ภาคราชการ
มาเป็นระยะเวลาพอสมควร
หลังจากเห็นการเปลี่ยนแปลงของภาคราชการตั้งแต่เริ่มมีคำว่า
”การบริหารจังหวัดแบบบูรณาการ” เมื่อปี 2546
ได้เห็นการปรับกลยุทธ์ต่างๆหลายครั้ง
ตลอดจนเห็นความพยายามนำรูปแบบและนวัตกรรมทางการบริหารจัดการจากภาคเอกชนเข้ามาใช้ในการบริหารการเปลี่ยนแปลงในภาคราชการ
ในช่วงแรกของการพัฒนาระบบราชการตั้งแต่ปีงบประมาณ 2547
ดูเหมือนว่าจะเป็นช่วงการทำความเข้าใจและการแปลงนโยบายลงสู่การปฏิบัติ
จนเมื่อย่างเข้าขวบปีที่ 3
ทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.)
คงเล็งเห็นว่าองคาพยพที่สำคัญของการเปลี่ยนแปลงก็คือขีดสมรรถนะขององค์กรและขีดสมรรถนะของข้าราชการ
จึงมีความพยายามให้น้ำหนักมากยิ่งขึ้น ในมิติที่ 4
การพัฒนาองค์กร
ซึ่งน่าจะทำให้การเปลี่ยนแปลงของส่วนราชการต่างๆมีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น
ทั้ง 3 ประเด็น คือ การบริหารการเปลี่ยนแปลง
(การจัดทำข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงและการนำไปสู่การปฏิบัติ)
การพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศ(ระบบ ICT)
การจัดการความรู้(Knowledge Management)
ในประเด็นการจัดการความรู้
ที่มีข้อสังเกตุข้อที่1ในบันทึกที่แล้ว
ว่า “
ระบบการคิดแบบระบบราชการสามารถขับเคลื่อนการจัดการความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่
“
ที่ต้องขอคิดดังๆในประเด็นนี้
เพราะเกิดคำถามกับสิ่งกำลังเกิดขึ่นว่า
วิธีคิดที่ทำให้เกิดระบบการคิดแบบราชการ(Bureaucratic
Thinking system)
เป็นต้นว่า การทำงานเน้นงานเอกสารและงานสารบาญที่ถูกต้องมากกว่ากระบวนการที่มีประสิทธิภาพ
การทำงานภายใต้ระเบียบฯกำกับ
(จนบางทีอาจจะจำเป็นต้องมี
ระเบียบสำนัก......ว่าด้วยวิธีคิดและตัดสินใจฯ)
การทำงานที่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอน(การแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ต้องทำตามขั้นตอนหรือไม่)
ระบบการคิดเช่นนี้จะสามารถขับเคลื่อนองค์กรไปสู่องค์การแห่งการเรียนรู้ได้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้จึงต้องคิดดังๆว่า
การจัดการความรู้ภาคราชการ V.2549
ที่ทุกส่วนราชการกำลังทำนั้น กำลังติดกับดักทางปัญญาหรือไม่และกำลังจะเป็นKMที่ขาดพลังในการขับเคลื่อนต่อไป
พรสกล
ณ
ศรีโต
8/2/2549
ไม่มีความเห็น