นี่คือการเลือกปฏิบัติต่อแรงงานข้ามชาติ สังคมไทยโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐต้องเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่
จ๊อบ
ผมแลกเปลี่ยนกรณีนางหนุ่มอย่างนี้นะ
กรณีนางหนุ่มเป็นกรณีของกองทุนเงินทดแทน ซึ่งเป็นกองทุนที่ต้องเรียกเก็บจากนายจ้าง หากไม่จ่ายสมทบ รัฐต้องไปเรียกเก็บกับนายจ้างเพื่อสมทบกับกองทุน โดยเป้าหมายคือ ต้องการให้หลักประกันแก่ลูกจ้างว่าหากประสบอุบัติเหตุจากการทำงาน จะมีกลไกรองรับหากนายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชย หรือไม่สามารถจ่ายได้ ก็จะสามารถไปใช้เงินกองทุนได้ แล้วกองทุนก็ไปเก็บกับนายจ้าง (ซึ่งเป็นกฎหมายคนละตัวกับประกันสังคม แต่มีเลขาธิการกองทุนประกันสังคมเป็นเลขานุการกองทุน และยกหน้าที่นี้ให้ประกันสังคมจัดการตามกฎหมาย คือเอากองทุนเงินทดแทนไปผูกไว้กับประกันสังคม) ผมไม่เห็นมีข้อไหนระบุในกฎหมายว่า ผู้ได้รับเงินทดแทนจะต้องเป็นผู้ประกันตนกับประกันสังคม
ทีนี้กรณีนี้มีปัญหาในเรื่องคำสั่ง ดังกล่าวที่ระบุว่าแรงงานข้ามชาติที่จะขอรับเงินกองทุนได้จะต้อง มีหลักฐานคือ
1. มีการจดทะเบียนและมีใบอนุญาตให้ทำงาน (Work Permit) ที่ทางราชการออกให้ มาแสดงประกอบกับหนังสือเดินทาง (Passport) หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
2. นายจ้างต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทนในอัตราไม่ต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำทั้งนี้แรงงานต่างด้าวที่จดทะเบียนต้องยื่นแบบเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับประเทศไทย
ปัญหามันมีสองประเด็น
หนึ่ง ประกันสังคมก็ไปตีความว่า บัตรประจำตัวแรงงานต่างด้าว (คือได้รับอนุญาตให้อยู่และทำงานในประเทศไทย) ไม่ใช่ ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว กรณีนี้เป็นไปได้ว่า เจ้าหน้าที่เข้าใจเอาว่าบัตรใบนั้นเป็นแค่ใบอนุญาตทำงานเท่านั้น ไม่ใช่บัตรประจำตัว
สอง การไม่จ่ายสมทบของนายจ้างไม่ควรเป็นสาเหตุของการที่ลูกจ้างจะไม่ได้รับเงินกองทุน แต่เป็นหน้าที่ของรัฐที่ต้องไปบังคับให้นายจ้างจ่ายเงินสมทบตามกฎหมาย อันนี้ไม่ต้องพูดเรื่องแบบภาษีเงินได้ ที่แรงงานมีรายได้ไม่ถึงที่จะต้องจ่ายภาษีเงินได้
ดังนั้นคำสั่งนี้ก็เลยไปตัดสิทธิแรงงานข้ามชาติที่จะต้องได้รับเงินทดแทนจากกองทุนตามกฎหมายไปซะอย่างนั้น
อย่างไรก็ตามแต่ อันนี้เป็นความเข้าใจของผมนะ อาจจะเข้าใจผิดเพราะไม่ใช่นักกฎหมาย หรืออ่านแล้วไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ก็เป็นได้
ผมเขียนบทความเรื่องนี้ด้วยนะ
http://gotoknow.org/blog/migrantworkers/144536
เผื่อจะทำให้เกิดการถกเถียงและผลักดันเรื่องนี้มากขึ้น