ระหว่างที่ผมทำการบันทึกอยู่นี้ ทราบว่า ผู้ใหญ่ไปพบกับผู้ใหญ่
เมื่อวานนี้ ระหว่างเวลา 09.30-11.30 น.มีการประชุมสรุปงาน ภายใต้คำว่า คณะทำงานภาคีจิตอาสาเพื่อส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตชนเผ่าตองเหลือง
มีถ้อยคำที่กล่าวว่าจะเป็นเหมือนปัจฉิมนิเทศน์ ผมได้โทรหาผู้ใหญ่ท่านที่กล่าวเช้าวันนี้ ว่า ที่ไปรวมกันที่ผ่านมานั้น ไม่ได้มีการบังคับขื่นใจ ล้วนเต็มอก เต็มใจกันทั้งสิ้น
ระยะแรกที่จำได้ไประดับสรรพสิ่งช่วย รร.ภูเค็งพัฒนา สร้างอาคารเรียนด้วยไม้ไผ่ จนประสบความสำเร็จ และมีการพูดเกี่ยวกับการให้มีที่พักนักเรียนที่โรงเรียน นับจากวันที่ 9 มีนาคม 2549 จนถึงเมื่อวานนี้ ผมนับแล้วเป็นเวลา 1 ปี 8 เดือน 7 วัน
ก็ไม่ทราบว่า ผู้หลักผู้ใหญ่จะว่ากันต่อไปอย่างไร ในส่วนของตัวผมนั้น ถึงไม่มีท่านทั้งหลายมาร่วมสรรค์ ร่วมสร้าง พวกเราก็ต้องทำกันอยู่แล้ว ภายใต้คำว่า จิตสำนึก ผมมองว่า คำว่า ภาคีจิตอาสาฯ นั้น ก็คือพวกที่มีจิตสำนึกนั่นเองที่เห็นว่า ควรมาร่วมมือกันมาสรรค์สร้าง ส่วนจะถูกต้องตามหลักการ วิชาการอะไรหรือไม่นั้น ผู้รู้จำเป็นต้องมาแนะนำในเวลาอันควร คนไม่ทำอะไรคือคนไม่ผิด สำหรับคนที่มีจิตสำนึกในหน้าทีพลเมือง ก็ไม่ควรท้อแท้ ท้อถอยที่จะก้มหน้าก้มตาทำคุณงามความดีกันต่อไป.
มองย้อนไปไกลหลายปี ในการที่ มีองค์การฯ ศาสนา มาปฏิบัติต่อพี่น้องตองเหลือง ไม่เห็นไม่ใครไปว่ากล่าวเขาได้ ยิ่งเป็นชาวต่างประเทศที่ทำงานถึงลูก ถึงคน ข้าราชการไทยยิ่งไม่อยากไปยุ่งให้เปลืองตัว
มองย้อนไปไม่ไกลอีกกับการที่มีข้าราชการบำนาญ ภาคีฯ เข้าไปทำงานกลับ ถูกมองแบบตั้งแง่ และขณะเดียวกับข้าราชการ ที่อาจยังอยู่ไกล หรือมีส่วนร่วมน้อย กลับให้ข้อมูลแบบผิดเพี้ยน เหมือนอคติ จึงเป็นเรื่องน่าเศร้าใจว่าพี่ ๆ น้อง ๆ ท่านเหล่านั้น กำลังทำอะไร
บ้านแผ่นดินมองแง่ดี ควรมีความรัก และความเข้าใจ เมื่อมุ่งมั่นทำงานไป เหตุใด สิ่งศักดิ์ไม่ทำให้ผู้ทำงานใจกว้างเข้าใจกันและกัน มองว่าคนโน้นต้องได้ คนนี้ต้อง หรือมีประโยชน์แอบแฝง น่าเบื่อจริง ๆ
เห็นด้วยครับกับการวางเฉยเมื่อมราบรีถูกกระทำโดยคนที่ไม่หวังดี แต่กับคนหวังดีลงมือช่วยเหลือก็ถูกว่าบิดเบือน....แล้ว ชีวิต "คน" ที่ถูกกระทำเล่า ใครอยู่เคียงข้าง
เมื่อทุกคนเอาตนเองเป็นที่ตั้งของการพัฒนา...
พี่น้องมราบรี กำลัง เคลื่อนชีวิต ด้วยชีวิต ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงานใคร แต่เป็นไปเพื่อ...ชีวิต