ตอนนี้ข้าพเจ้าใช้ชีวิตอยู่บนดอย ซึ่งเป็นดอยที่ค่อนข้างห่าง
ไกลความเจริญพอสมควร
ทุกสัปดาห์ข้าพเจ้าจะต้องเข้าไปในเมือง เพราะว่าต้องไปเรียน
ต่อ จริงๆแล้วข้าพเจ้าเป็นครูดอยนั่นแหละ ข้าพเจ้าเรียนจบ
โปรแกรมวิชาวัฒนธรรมศึกษา แขนงวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ
และโบราณคดี
หลายๆคนว่าข้าพเจ้าเป็นผู้หญิงโบราณ ข้าพเจ้าไม่รู้สึกโกรธ
เลย แต่ตรงกันข้ามข้าพเจ้ากลับรู้สึกภาคภูมิใจ
ข้าพเจ้ามาอยู่.....
ที่บนดอยนี้ได้ประมาณ 1 ปี ทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ทำให้ข้าพเจ้า
ประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน เด็กนักเรียน ชาวบ้าน
ตอนนี้ข้าพเจ้าได้ประจำชั้น ป1 เด็กๆของข้าพเจ้าน่ารักมากๆ
มีน้ำใจ พูดจาไพเราะ มารยาทดี
ข้าพเจ้าไม่คิดเลยว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าทำโดยไม่หวังผลตอบแทนนั้น
วันนึงผลมันก็ย้อนกลับ
อย่างไม่น่าเชื่อ คือว่า ข้าพเจ้าต้องเข้าเมืองทุกสัปดาห์ ต้อง
ไปเรียน ออกจากโรงเรียน 4 โมงเย็น ขึ้นรถเที่ยงคืนไป
แม่ฮ่องสอน ถึงประมาณ ตี 5 พอประมาณ 9 โมงก็เรียน
วันอาทิตย์ก็เรียนถึง5โมงเย็น กลับถึงบ้านตี 1 พอตี 5 ก็ขึ้นมา
โรงเรียนต่อเพื่อมาสอนเด็กๆ ทุกวันจันทร์ข้าพเจ้าก็จะมีของมา
ฝากเด็กๆบางทีเป็นขนม บางทีเป็นช็อกโกแลต บางทีก็เป็น
พิซซ่า ซึ่งสิ่งเหล่านี้หาไม่ได้หรอกนะเพราะที่บนดอยไม่มี การ
ที่ข้าพเจ้ามีน้ำใจกับเด็กๆแบบนี้ เด็กๆก็มีน้ำใจต่อข้าพเจ้าคือ
บางทีเด็กก็จะเอาผักมาให้ มีอยู่ครั้งนึงที่ทำให้ข้าพเจ้าถึงกับ
กลั้นน้ำตาไม่อยู่นั่นคือ เด็กนักเรียนป1 ซึ่งเป็นเด็กตัวน้อยๆ
ได้เอาขนมมาให้ข้าพเจ้าเป็นขนมที่น่าจะเป็นของฝากจากใน
เมืองเด็กคนนั้นบอกว่า ครูครับ ผมเอาขนมมาให้ครูครับ
เปลี่ยนกันบ้างเพราะครูเอาขนมให้ผมตลอดเลย ผมไม่เคยเอา
อะไรให้ครูเลย ข้าพเจ้าว่าจะไม่รับ แต่เมื่อเด็กมีความตั้งใจ
แบบนั้น ข้าพเจ้าก็รับขนมนั้นมา แล้วแบ่งให้เพื่อนๆในห้องได้
กินขนมนั้นทุกคน แม้ว่าเด็กๆจะได้กินขนมคนละชิ้น แต่เด็กๆก็
มีความสุข นี่คือความมีน้ำใจของเด็กบนดอย
และนี่ก็เป็นความภาคภูมิใจที่ข้าพเจ้ามีความสุขทุกครั้งที่คิด
อย่างน้อยๆข้าพเจ้าก็พูดได้โดยไม่อายว่าลูกศิษย์ของข้าพเจ้า
เป็น....
คนดี มีน้ำใจ ถึงแม้จะเป็นความมีน้ำใจเล็กๆน้อย ๆ แต่มันก็จะ
ตราตรึงในหัวใจของข้าพเจ้าตลอดไป
อยู่บนดอยบ่มีแสงสี บ่มีทีวี บ่มีน้ำประปา.....ครูดอยใจดีสู้ต่อไปนะค่ะ เพื่ออนาคตของเด็กไทย