เมื่อวันที่ 30 – 31 ตุลาคม 2550 สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ได้จัดการประชุมวิชาการ “การวิจัยในชั้นเรียน” ครั้งที่ 4 ประจำปี 2550 ณ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ สุขุมวิท 11 โดยมีการเสวนาเรื่อง การใช้ประโยชน์จากงานวิจัยในชั้นเรียน วิทยากรนำการเสวนาได้แก่ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.นงลักษณ์ วิรัชชัย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิชิต ฤทธิ์จรูญ และ ดร.สมลักษณ์ สุเมธ
ดร.สมลักษณ์ สุเมธ รองผู้อำนวยการ โรงเรียนพระมารดานิจจานุเคราะห์ ได้กล่าวถึงการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยในชั้นเรียนไว้ 3 ประเด็น คือ
ผู้ใช้ประโยชน์เป็นอันดับแรก คือ ครูผู้ทำวิจัยเอง ใช้ในการต่อยอดความรู้ ทำให้รู้ลึก รู้กว้าง เป็นผู้เชี่ยวชาญ เป็นผู้ชำนาญการในเรื่องนั้นๆ ดังนั้นในการทำงานวิจัยต้องมีการพัฒนาขึ้น ไม่ใช่ทำซ้ำแบบเดิมทุกประการ หรือทำเรื่องโน้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง ไม่เชื่อมโยงกัน และที่สำคัญคือ ทำแล้วต้องทำอีก อย่าพอใจแค่ 1 – 2 เรื่อง ต้องทำต่อเนื่อง ต้องทำให้การสอนกับการวิจัยเป็นเรื่องเดียวกัน เมื่อไรมีการสอนเมื่อนั้นต้องมีการวิจัย
ผู้ใช้ประโยชน์ลำดับที่สอง คือ เพื่อนครู การได้อ่านงานวิจัยของผู้อื่นบ้าง จะทำให้ได้แนวคิด ได้แบบอย่างของการทำวิจัย งานวิจัยของครูคนหนึ่งอาจเป็นแรงบันดาลใจให้กับครูอีกหลายคน ดังคำกล่าวที่ว่า ครูธรรมดา สอน
ครูที่ดี ทำให้ดู
ครูที่ดีที่สุด สร้างแรงบันดาลใจ
ผู้ใช้ประโยชน์ลำดับที่สาม คือ โรงเรียน ผู้บริหารหรือฝ่ายวิชาการควรรวบรวม สรุป และสังเคราะห์งานวิจัยในชั้นเรียนที่ครูทำในแต่ละปี เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการวางแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน ทั้งในส่วนที่เสริมจุดเด่น และแก้ปัญหาจุดด้อย
ผู้ใช้ประโยชน์ลำดับสุดท้าย คือ ผู้ปกครอง โดยครูผู้ทำวิจัยอาจนำเสนอข้อมูลให้ผู้ปกครองทราบ และสร้างความร่วมมือในการพัฒนาผู้เรียนระหว่างครูและผู้ปกครอง
ผู้ที่ทำและใช้ประโยชน์จากงานวิจัยบ่อยๆ จะได้ฐานการคิด ได้ความเจริญงอกงามทางปัญญา มีวิธีการทำงานที่เป็นระบบ ครบวงจรคุณภาพ และมีการพัฒนางานเสมอ นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างเครือข่ายทางวิชาการ เกิดความเข้มแข็งทางวิชาชีพ เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั้งภายในและภายนอกองค์กร นำไปสู่การจัดการความรู้ภายในองค์กร และยังใช้ประกอบการพิจารณาประเมินผลงานทางวิชาการได้ด้วย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การใช้งานวิจัยจะทำให้เกิดการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ซึ่งน่าจะเป็นเป้าหมายอันดับแรกของการทำและใช้ผลงานวิจัย
จากประสบการณ์ของโรงเรียนพระมารดานิจจานุเคราะห์ ผู้บริหารได้สนับสนุนและส่งเสริมหลายรูปแบบ ได้แก่ การจัดหาพี่เลี้ยงให้ความช่วยเหลือ การทำเป็นแบบอย่าง การรวมกลุ่มสนใจ การอำนวยความสะดวกในเรื่องเวลา สถานที่ อุปกรณ์ การให้การเสริมแรง การใช้กระบวนการกลุ่มในการสร้างแรงจูงใจ การประกาศเกียรติคุณครูที่มีผลงานวิจัย การสร้างวัฒนธรรมองค์กรในเรื่อง การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการส่งเสริมการทำวิจัยแก่บุคลากรทุกระดับ ทั้งนักเรียน ครู และผู้บริหาร รวมถึงการทำวิจัยร่วมกับหน่วยงานภายนอก
ท้ายสุด ดร.สมลักษณ์ สุเมธ ได้สรุปว่า จากการพูดคุยกับครูที่ประสบความสำเร็จในการทำและใช้ประโยชน์จากงานวิจัย พบว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ครูทำวิจัย ต้องเริ่มต้นที่ตัวครูเอง ครูต้องมีความมุ่งมั่น ตั้งใจจริง จึงจะทำได้สำเร็จ และครูต้องเปลี่ยนวิธีคิด ต้องคิดว่า การวิจัยเป็นวิถีแห่งการทำงาน ไม่มีภาระเพิ่ม ครูต้องสอนและทำวิจัยไปพร้อมๆ กัน และเมื่อทำแล้วต้องสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ ไม่ใช่มีไว้โชว์ ไม่ทำเพราะมีคำสั่งหรือมีข้อกำหนดให้ทำ แต่ทำด้วยใจที่จะพัฒนาผู้เรียน ครูจึงจะมีความสุขในการทำงานและการทำวิจัย
ฝากชม ดร.สมลักษณ์ด้วยนะคะว่าบรรยายได้หมดจดครบถ้วน และชมผู้เขียนบล็อกด้วยว่าใช้ภาษาอ่านเข้าใจง่ายดีค่ะ รวมทั้งขยันสม่ำเสมอด้วย
ดร.สมลักษณ์ขอบคุณอาจารย์อย่างมากที่ฝากชมมาค่ะ ท่านบอกว่าจะพยายามหาเวลาว่างเขียนเรื่องเล่าที่ได้จากการปฏิบัติงานแล้วประสบผลสำเร็จ แถมฝากชมว่าอาจารย์ขยันจังเลย ดูเวลาที่อาจารย์กำลังเขียน blog แล้วทำให้มีกำลังใจว่ายังมีเพื่อนร่วมงานในเวลาเดียวกัน
ขอบคุณอาจารย์มากค่ะ ครูเอียดลงตามที่ท่านดร.สมลักษณ์ ท่านเขียนค่ะ ดีใจค่ะที่ได้ทำหน้าที่คุณวิศาสตร์และดีใจอย่างมากที่สุดเมื่อเห็นสีหน้าของเจ้าของบทความแสดงดีใจที่บทความได้ลง blog