ที่ผมมาบันทึกบล็อกในวันนี้ตั้งกะเช้า เพื่อมาบ่นความรู้สึกช่วงนี้แค่นั้นละขอรับ
มีหลายสิ่งที่อยากทำแต่ทุกอย่างมันเร่งร้อนไปหมดซะจริงๆ
- งานประจำที่ต้องพยายามทำให้มันดีที่สุด (80%)
- งานใหม่ๆ ที่มีพี่ๆ ให้มาพัฒนา (15%)
- งานที่ผมอยากพัฒนาเอง (5%)
- งานอดิเรกที่ผมอยากทำ (..)
งานทั้ง 4 อย่างผมเรียงตามลำดับความสำคัญนะครับ แต่ความชอบหรือสนุกกับมันนี่..อีกเรื่องหนึ่ง
เมื่องาน 1-3 มันเพิ่มเรื่อยๆ งานอดิเรกที่ผมอยากทำจึงต้องหายไปโดยปริยาย
(งานอดิเรก คือ งานที่ผมทำแล้วมีความสุขมากขนาดเสียเงินเพื่อให้ทำก็ยอม)
เวลาทุกวันผมมีเท่าเดิม คือ 24 ชั่วโมง
เดิมผมถือคติว่า จะไม่เอางานกลับไปทำที่บ้านเพื่อชาร์จอารมณ์,สุขภาพและความสุขให้เต็มเปี่ยมก่อนที่จะกลับมาทำงานวันรุ่งขึ้น
แต่เนื่องด้วยงานมันเร่งรัดขึ้นทุกวัน สาเหตุเมื่อมองย้อนไปมันก็ง่ายมากที่จะเดา
เพราะงานที่จะพัฒนาตั้งแต่ปีที่แล้วมันยังไม่ก้าวหน้าไปถึงไหนนะสิครับ
สิ่งที่ตั้งวางแผนไว้ว่าเดือนนี้จะเสร็จๆ แต่พอเอาเข้าจริงงานมันไม่เรียบร้อยหรือเรียบร้อยแค่บางจุด ซึ่งถือว่ามันยังไม่สมบูรณ์ดีแต่แผนต่อไปมันมาจ่อคอหอยเราแล้ว เราก็ต้องกลืน เอ้ย รับทำมันต่อไป ผมก็มานอนนึกตอนกลางคืนว่า ทำไมเราจึงทำไม้สำเร็จซะทีนะ ซึ่งงานส่วนใหญ่ที่ไม่สำเร็จจะเป็นงานที่ต้องทำกับหลายหน่วยงานทั้งนั้น
ผมเลยมาย้อนมองดูสาเหตุคร่าวๆ ที่คิดได้มีดังนี้
ตัวผมเอง (ไม่กล้ามองคนอื่น)
- มองงานไม่ครบด้าน มีจุดบกพร่องเยอะ เลยต้องมาแก้กันหลายรอบ
- การสื่อสารไม่ดี อันนี้ผมยอรับเต็มๆ เพราะผมเป็นคนพูดช้า ตามทุกคนไม่ค่อยจะทันอยู่แล้ว บวกกับผมไม่ค่อยไปแวะเวียนพูดคุยกับทุกหน่วย ทำให้การเข้าใจตรงกันเป็นเรื่องยาก
บวกกับงานประจำที่มันน่าจะน้อยลงแต่ไม่น้อยลง
เพราะปัญหาที่ทับถมมารอการแก้ไขมีอีกมาก
ิวิธีแก้ ที่ผมคิดคร่าวๆ คือ
-
การแจกเอกสาร คำถามที่ตามมาจะมีคนอ่านไหมและอ่านครบทุกคนไหม
ผมถามและตอบเองว่า ถ้ามีมาแบบนี้ผมเองยังไม่ค่อยอยากอ่านเลย อีกทั้งจากการลองนำเอกสารไปสอนการใช้โปรแกรมพบว่า วิธีนี้จะใช้ได้กับผู้ที่เชี่ยวชาญแล้วถึงอ่านรู้เรื่อง (แปลว่าส่วนใหญ่อ่านไม่รู้เรื่อง มีสองอย่างครับไม่สนใจเลยกับมาถามผมทีละราย)
สรุป วิธีที่ประหยัดเวลาแต่ประสิทธิภาพอาจไม่ดีนัก บวกกับผมไม่ถนัดงานเอกสารทางการเลย
-
การประชุม
เป็นวิธีที่ยากแก่การนัดมามากเพราะทุกคนมีงานยุ่งอยู่แล้ว การที่จะนัดเจอให้ครบทุกฝ่ายเป็นอะไรที่ยากมากแม้นมันจะดีที่คุยครั้งเดียวจบ(จริงหรือ ไใม่ใช่มากคนมากความนะ) แต่การประชุมย่อยเรื่องเดิมถี่ๆ ก็หนักงานเราเข้าไปอีก ผมเองก็เข็ดเหมือนกันที่กว่าจะขยายตึกทำโปรแกรม HOMEC-IPD ได้ขนาดนี้ต้องประชุมหลายรอบมาก แม้ว่าจะได้ผลดีก็ตาม
สรุปว่า มันเป็นวิธีที่เปลืองเวลาแต่ได้ผลวิธีหนึ่ง
-
การคุยกันแบบ KM
ท่าทางจะยาก เช่นเดียวกับข้างต้น กล่าวคือ มันต้องใช้เวลานัดเจอกันอยู่ดี ผมเห็นข้อดีหลายๆอย่างจากการใช้ KM มามีส่วนร่วมแต่ต้องแก้ปัญหาเรื่องการแบ่งงานและเวลาให้ได้ก่อนขอรับ
ทุกวันนี้งานประชุมอะไรที่มีชื่อผมมันก็ค่อยๆ หายหัวไม่โผล่ไปแย้ว ซึ่งผมเองก็รู้สึกผิดแต่ผมก็ไม่ได้มีเวลาไปเตรียมอะไรก่อนเข้าประชุมเลย
จึงเอาไปทำงานประจำให้มันเรียบร้อยดีกว่า
ขอโทษจริงๆ นะครับ (I'm so sorry)
ก่อนจบ
ผมมองแผนระยะยาวของห้องยาในแล้วพบว่ามันน่าประหลาดใจมากๆ ทีเดียว กล่าวคือ
- งานประจำต้องทำอยู่แล้ว ใช้เวลาเท่าเดิม เน้นว่าต้องเท่าเดิมเพราะหากเร่งมากกว่านี้
จะมีการผิดพลาดเป็นที่ให้ร้องเรียนมากขึ้น
- งานใหม่ๆ ที่รอจ่อคิวมีเป็นหางว่าว ให้ทำต่อเป็นงานประจำใหม่ๆ เพิ่มมากอีก..
- งานพัฒนาเร่งให้เราพัฒนาให้ผิดพลาดน้อยลง ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งต้องอาศัยเวลา
ในการเก็บข้อมูล ิเคราะห์หาสาเหตุ และวางแผน ประชุม ลงมือปฎิบัติ....(ปัญหาแรกที่ผมอยากทำมาก ทำไมเราไม่มีเวลาพอทำงานที่ว่านี้)
สิ่งที่ผมอยากหามาก คือ เวลา ที่หายากเรื่อยๆ ว่าคุณเวลาเขาหายไปไหน (น้อยใจ,หนีออกจากบ้าน) มีหนังสืออยู่สองเล่มที่ผมได้จากงานหนังสือแห่งชาติที่เสนอความคิดเรื่องนี้ ผมจะพยายามค้นหาคุณเวลาให้เจอขอรับ