ข้าพเจ้าเองรู้สึกเคลือบแคลงสงสัยมานานแล้วว่าระบอบประชาธิปไตยที่ใช้กันอยู่นี้ มันดีจริงหรือ ดีอย่างไร ในแง่ไหน แล้วทำไม75ปีแห่งประชาธิปไตยในผืนแผ่นดินนี้มันถึงได้ คืบคลานกระดึ๊บ กระดึ๊บมาอย่างกับตัวทากก็ไม่ปาน หากเทียบกับคนก็นับได้ว่าเพรียบพร้อมไปด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิ อย่างน่าภาคภูมิใจมิใช่น้อย แต่กับประชาธิปไตยในผืนแผ่นดินนี้ทำไมมันถึงได้กลายเป็นการแก่กะโหลกกะลาแก่แดดแก่ลมไปเสียเล่า
โปรดอย่าได้แย้งออกมาอย่างข้างๆคูๆเลยว่า จนเดี๋ยวนี้มันก็ได้พัฒนามามากแล้ว .. ท่านแน่ใจหรือ ไอ้ที่ท่านว่ามันคือการพัฒนานั้น มันก็เป็นแต่เพียงอัตราค่าครองชีพและวัตถุเท่านั้น หรือจะให้ชัดยิ่งกว่านั้นก็คือ เงินในกระเป๋าท่านต่างหาก ที่มันมีมากขึ้นพัฒนาขึ้นทุกปี โดยเฉพาะคนมีสีทั้งหลาย แต่ในแง่ของสังคมแล้ว มันไม่ใช่เลย
เราต่างมุ่งเน้นไปที่ระบบเศรษฐกิจกันมากเกินไป จนกระทั่งเกิดอาการเสียศูนย์ เสียหายมาหลายต่อหลายครั้งก็ยัง มานั่งตีหน้าซื่อ ว่าผู้บริหารไม่ดี แท้จริงแล้วคุณภาพของทรัพยากรบุคคลในประเทศเป็นเช่นไร เราก็ได้ผู้บริหารแบบนั้นแหละ จะไปโทษใครเขาได้นอกจากตัวเอง
และการที่ผู้คนในสังคมยุคปัจจุบันหันมาใช้ชีวิตแบบคนโสดมากขึ้น นี่มิใช่เรื่องดีเลย นี่มันคือความพิกลพิการของประชาธิปไตยโดยแท้ และมิใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริง กับสิ่งที่คนเดือนตุลาภูมิใจกันนักหนานั้น มันก็ได้เพียงครึ่งเดียวของทั้งหมด เพราะมันขาดซึ่งความเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ในการจัดการปัญหาให้ลุล่วงลงไปอย่างถึงที่สุด แต่นี่กลับไม่ทำ หากจะว่ามันคือชัยชนะ มันก็เป็นชัยชนะที่ขาดตกพกพร่องไม่สมบูรณ์ ซึ่งปัญหานี้ คนที่เป็นคนเดือนตุลาแท้ๆ ย้ำนะว่า แท้ๆ ย่อมรู้อยู่แก่ใจดีที่สุด
การอยู่เป็นโสดของคนหนุ่มสาวในยุคปัจจุบัน จึงมีความนัยย์เชิงปฏิเสธความสัมพันธ์ในทางสังคม ปฏิเสธการมีส่วนร่วมรับผิดชอบในสังคมที่ตนอาศัยอยู่ ถึงแม้จะอ้างว่ามันเป็นไลฟ์สไตล์ แต่แท้จริงแล้วมันคือการปฏิเสธสำนึกรับผิดชอบที่มันเป็นความยุ่งยากของสังคมนั่นเอง การใช้ชีวิตเชิงเดี่ยวนั้น มันเป็นอิสระก็จริง แต่ไม่เป็นผลดีต่อระบบประชาธิปไตย ตรงข้ามมันกลับเป็นปฏิปักษ์อย่างสิ้นเชิงกับประชาธิปไตย
ท่าน naree suwan สบายดี