อ้าว! มันยังไงกันล่ะคะพี่น้อง เป็นว่าที่หมอฟันอยู่ดีๆ ทำไมเกิดอยากจะเป็น ผดด. (ผู้ดูแลเด็ก) ขึ้นมาได้
เรื่องมันมีอยู่ว่า ในรายวิชาทันตกรรมชุมชน 5 ว่าด้วยการทำงานส่งเสริมสุขภาพในชุมชน โดยปกตินิสิตก็มักจะลงไปศึกษาพื้นที่ เก็บข้อมูลจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบในการคิดทำโครงการต่างๆ และสุดท้ายหลายๆ กลุ่มก็มักจะจบลงด้วยการจัดประชุมผู้ปกครองเพื่อให้เกิดการทำงานอย่างมีส่วนร่วม แต่ในกลุ่มล่าสุด (ไปทำที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านยางเอน) ที่ผู้เขียนได้มีโอกาสเป็นอาจารย์ประจำกลุ่ม นิสิตเขาเกิดคิดว่าอยากจะลองไปเป็น ผดด. ดูบ้าง เพื่อเป็นการศึกษาเรียนรู้ชุมชน เอ... แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมาล่ะเนี่ย
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจ (ผู้อ่อนด้วยประสบการณ์อย่างผู้เขียน) ยิ่งนัก เพราะหลังจากที่นิสิตได้ลงไปทำงานเป็น ผดด. แค่ 2 วัน (มีเวลาจำกัดแค่นั้น) ทำงานทุกอย่างเยี่ยง ผดด. เริ่มตั้งแต่ 7 โมงเช้า ที่ต้องไปเปิดศูนย์ฯ กวาด-ถูพื้นห้อง ขัดห้องน้ำ รับเด็กจากผู้ปกครอง สอนหนังสือ พาไปไหว้พระที่วัดใกล้ๆ พาเด็กรับประทานอาหาร ป้อนข้าว ล้างหน้า แปรงฟัน พาเข้านอน และสุดท้ายจบลงที่การส่งเด็กกลับบ้าน กว่าจะเสร็จภาระกิจก็ปาเข้าไป 4 เย็น แถมมีหนึ่งวันที่โดนแจ๊คพอต เพราะเด็กอึรดกางเกง นทพ. ก็ยังต้องทำหน้าที่ล้างก้น เปลี่ยนกางเกงให้ด้วย แหม.. มันช่างตีบทบาทได้เหมือนจริงๆ
ที่เล่ามานั่น ยังไม่เห็นเรื่องน่าอัศจรรย์เลยนะคะ เพราะสิ่งที่จะเล่าคือผลที่เกิดขึ้นตามมาต่างหากค่ะ เพราะปกติ ผดด. ที่นี่จะเป็นคนเฉยๆ ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยตอบคำถาม ถามคำตอบคำ บางทีถามคำก็ไม่ตอบเลย (อาจเพราะอายนิสิต) แต่หลังจากปฏิบัติการเสร็จสิ้น ผดด. ตัวจริงก็คุยกะนิสิตอย่างเปิดเผย เล่าเรื่องล้างก้นเด็กทีไรก็หัวเราะขำกลิ้งกันทุกที ความสนิทสนมได้ก่อตัวขึ้นท่ามกลางการทำงานอย่างช้าๆ นอกจากนี้ที่สำคัญยังทำให้การพูดคุยเพื่อให้ ผดด. ช่วยปรับพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่เหมาะสมของเด็กก็ยังทำได้ง่ายขึ้นด้วย เพราะมันไม่ได้ทำให้ ผดด.เข้าใจว่านิสิตเข้าไปตรวจสอบ หรือจับผิดอะไร การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันจึงบังเกิดได้ง่ายขึ้น
เดิมที่ตอนแรก นิสิตเห็นอะไรๆ ที่มันขัดหูขัดตา อยากจะไปปรับโน่น แก้นี่ของเขา ก็กลับรู้ว่าจริงๆ แล้วตัวเองนี่แหละที่เข้าไปสร้างปัญหา เพราะในภาวะปกติเขาอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนี้ แต่พอนิสิตลงไปทำงานกลับเห็นภาพอีกอย่าง และตีความภาพนั้นผิดไป
ที่เล่ามา อาจจะยังบันทึกเหตุการที่สำคัญได้ไม่หมด แต่เกรงว่าบันทึกนี้จะยาวมากเกินไป เอาเป็นว่าผู้เขียนได้รู้ซึ้งคำสำคัญบางคำแล้วว่า “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” ว่าเป็นจริง
บทเรียนนี้ เรียกได้ว่า เป็นการเรียนเรื่อง Emic view ด้วยความกล้าหาญ ยอมเอาตัวเข้าแลกเลยทีเดียว
การจะทำความเข้าใจคน โดยเข้าไปเป็น "คนใน" จริงๆ น่าจะเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่ดีสำหรับนิสิตกลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี
ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร หากงานนี้ นิสิตยังนึกไม่ออก หรือไม่ได้ลงมือทำอะไรให้กับศูนย์เด็กเล็ก แต่ความเข้าใจนี่เป็นฐานสำคัญเลยทีเดียวล่ะค่ะ
เจ๋งดีค่ะ :-)) พวกนายแน่มาก
ขอบคุณ และ ที่เข้ามาให้กำลังใจเสมอๆ
เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าน้องเยียร์เป็นอดีตครูปฐมวัย ไว้วันหลังได้ให้นิสิตเข้าไปขอคำปรึกษานะ
สำหรับพี่อ้อ
กลุ่มนี้สนุกมากค่ะ เพราะน้องๆ นิสิตลุยดีมาก ต้องนับถือน้ำใจพวกเขาจริงๆ เพราะขนาดเราเองแค่ตามไปดูแลยังเหนื่อยมากๆ เลยค่ะ
กลุ่มนี้นอกจากจะได้เรียนรู้ และเข้าใจ ผดด. ในมุมมองที่คล้ายๆ ว่าจะเป็นคนในแล้ว (ไม่กล้าพูดว่าเป็นคนในอย่างเต็มปากเต็มคำเพราะเป็นได้แค่ 2 วันเองค่ะ) ยังเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ ผดด. เปิดใจ มีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน ทำให้พูดคุยกันได้ง่ายขึ้น การดึงการมีส่วนร่วมแบบร่วมคิดร่วมทำก็ดูเข้าท่าดีกว่ากลุ่มอื่นๆ ที่ผ่านมาที่อาจจะยังไม่ได้เข้าใจเขาอย่างจริงจังแต่เอาเกณฑ์ของความเป็นทันตแพทย์เข้าไปจับ/วัด
สวัสดีค่าพี่หนิง
"หนูว่าบางที บางสิ่งที่เราคิดว่ามันเป็นปัญหาที่เค้าต้องแก้ไข แต่ในความเป็นจริงกลับกลายเป็นว่าเราต่างหากที่ไปทำให้สิ่งนั้น (ที่เราคิดว่าคือปัญหา) มันเกิดขึ้นมาเอง เราที่ได้ชื่อว่าคนนอก"
คำพูดข้างบนนี้ที่ได้ฟังจากน้องนิสิต (ข้อความอาจไม่ใช่อย่างนี้ทั้งหมด แต่ประมาณนี้นะคะ) ทำให้คิดได้จริงๆ คะว่า บางทีที่เราเคยคิดกันอยู่บ่อยๆ ว่าเรานี่แหละที่มีความรู้มีความเข้าใจ (ในเรื่องสุขภาพ) เป็นอย่างดี แต่ความเข้าใจที่เรามั่นอกมั่นใจนี้ ที่ทำให้เราหูตาไม่สว่างเอาเสียเลย มันปิดกั้นมุมมองของมิติทางสังคมที่ควรเป็นเสียมิด ทำให้เราเห็นเค้าเป็นเพียงหน้าหนังสือที่คิดว่าแค่เปิดอ่านก็จะรู้เรื่องราวทั้งหมด ทั้งที่ชีวิต และวิถีต่างๆ ที่เค้าดำเนินมาและจะดำเนินต่อไปมันไม่ใช่แค่ที่เห็นเพียงเปลือกที่เราจะเข้าใจได้ด้วยการเข้าไปนั่งดูเพียงอาทิตย์หรือสองอาทิตย์เท่านั้น......
สำหรับน้องนิสิตกลุ่มนี้ต้องขอยกนิ้วให้เลยคะ ในความกล้าที่จะลองทำอะไรแปลกๆ ไม่ต้องเหมือนกลุ่มอื่น และที่สำคัญในแง่ของมุมมองที่ได้เรียนรู้ ที่นิสิตเค้าชี้ประเด็นข้างต้นออกมา ยอมรับคะว่าดีใจจริงๆ ที่นิสิตเค้าพยายามเข้าไปเรียนรู้ เข้าไปค้นหา แล้วก็ค้นพบบางสิ่งจริงๆ....... น่าชื่นชมเหลือเกินคะ.....
สำหรับนิสิตที่เสียสละในการเช็ดอุจจาระน้องตัวน้อย ก็ขอปรบมือให้ดังๆ เลยคะ อยู่ในเหตุการณ์ด้วย เห็นเลยคะว่า เค้าพยายามจริงๆ ทั้งๆ ที่เค้าสามารถขอให้พี่ผู้ดูแลเด็กช่วยก็ได้ แต่เค้าก็ยอมที่จะเรียนรู้และทำมันเอง ขอปรบมือดังๆ ให้อีกครั้งคะ.....555
ความเหนื่อยบางทีก็คุ้มค่าอย่างเหลือเชื่อนะคะ.......