เคยเหงาอยู่บ้างข้างขอบฟ้า


บทความ ถึงมุมมองชีวิต จากความประทับใจในบทเพลง และการสร้างสรรค์ของ เอี้ยว ณ ปานนั้น เมื่อมีโอกาสในการร่ำร้อง หวลรำลึก และเพ่งมองก้าวย่างที่ผ่านไปผ่านมาในชีวิต จึงบันทึกไว้ถึงคำถามในใจที่ผ่านมา

เคยเหงาอยู่บ้างข้างขอบฟ้า

อ้างอิง - ภาพ http://www.lomography.com/folkways

มีเพลงบทหนึ่ง มีเนื้อร้องว่า

 

ไป ไป ตามหนทางไกล ฝัน ฝัน ไม่เลยไปจนไกล แค่ใจความรู้สึกหยั่งถึง
กับใจที่คิดคำนึง ให้ถึงซึ่งความทรงจำ ใช้คืนค่ำดั่งคำย้ำเตือน

ตามสองข้างทางพฤกษายังเป็นเพื่อน
เรไรเยี่ยมเยือน เจ้าเพื่อนเอ๋ย
อาจจะได้ฝันไกลหรือได้เพียงฝันเฟื่อง เป็นเรื่องของใจ ตัวเอง

แด่ดวงใจท่องไปในโลกกว้าง เคยเหงาอยู่บ้าง ข้างขอบฟ้า
บางครั้งชโลมตัวเองบ้าง ฝนเกิดจากน้ำ ขวัญและฝันเกิดจากใจ

ใสใส บางส่วนที่สดใส ขวัญ ขวัญ บางครั้งเคยหล่นหาย เหมือนพ่ายความรู้สึกตัวเอง
กับคืนที่เข้ามาเยือน ฤาจะเลือนแม้ความทรงจำ ใช่คืนค่ำดั่งคำย้ำเตือน

 


หลายครั้งที่กลับมานั่งรำลึกความหลัง

ด้วยการร้องเพลง

นั่งลำดับความถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาของชีวิต แต่ละก้าวแต่ละขณะ ทั้งสุขทั้งทุกข์ นั่งย้อนเรื่องราวว่า เราได้ทำสิ่งใดตกไว้บ้าง อะไรที่หล่นหายจากหัวใจ อะไรที่ทำให้เราก้าวผ่านจากความเศร้า มาสู่วันนี้

และวันนี้ เรายังคงก้าวเดินไปข้างหน้าเพราะอะไร

 

 

ในวันที่เราเหงาเราถามหาอะไร ถามหาใจถามหาหัวใจ หรือถามหาใคร  ความพ่ายแพ้ในใจตัวเอง คือหนึ่งในความเจ็บปวด ขณะที่นึกถึงวันคืนเก่าๆ ว่าทำไมเรายอมปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในความรู้สึกเหล่านั้น ได้อย่างยาวนานถึงเพียงนั้น หรือเป็นเพราะขณะนั้นเราไม่พบทางออก

ผมนั่งร้องเพลง ด้วยความเหงา

ร้องเพลงเคยเหงาอยู่บ้างข้างขอบฟ้า

เพียงเพราะมีบทเพลงนี้อยู่ข้างตัว

 

จดได้จำได้ ถึงแต่ละความรู้สึกขณะที่นั่งร้องเพลง ยามไม่ต้องการให้ใครได้ยิน ไม่อยากให้ใครได้จดจำ ถึงโมงยามนั้นที่เรากำลังร้องเพลง ขณะที่ร้องไปก็นั่งถามตัวเองในใจไปเรื่อยๆว่า

ที่หายไปนั้น เป็นขวัญหรือฝัน กันแน่

หรือทั้งขวัญและฝันได้หลุดหายไปจากใจ 

 

 

โดยที่จะเป็นความรู้สึกใดไม่ได้เลย เมื่อต้องเดินทางไกลด้วยการนั่งหลังกะบะรถ แล้วตะโกนร้องเพลงนี้ เหมือนกินข้าวเสร็จแล้วดื่มน้ำตาม เมื่อได้ร้องเพลงแข่งกับสายลม ตะโกนเหมือนบอกตัวเอง ให้ได้สำนึกว่าตอนนี้กำลังเดินทาง และกำลังหาสิ่งที่หล่นหายไป

ขณะที่ตามองสองข้างทาง

ผมพยายามมองหาสิ่งที่หล่นหาย

 

 

รู้ทั้งรู้ว่าไม่สามารถค้นหาได้พบ แต่ก็ยังพยายามจะมองหา ทำตัวเหมือนเด็กดื้ออยากได้ของเล่น ทั้งที่ไม่ใช่เวลาพิเศษใดที่เราควรจะได้รับ ไม่มีสัญญานใดบ่งบอกถึงการได้มาซึ่งความง่ายดายของชีวิต

แม้ไม่รู้ว่าเมื่อไรเราจะเข้าใจ

แต่ก็พยายามจะเข้าใจ

 

ยิ่งเดินทางไกลเท่าไหร่ ยิ่งพยายามตอบตัวเองซ้ำซ้ำด้วยคำเดิมเดิม เหมือนเราย้ำคิดย้ำทำ กับแต่ละพฤติกรรมชีวิต ด้วยบทสรุปที่บอกกับตัวเองเสมอว่า สักพักเราก็จะเติบโตขึ้น สักพักเราก็จะได้พบคำตอบ สักพักสิ่งเหล่านี้จะจบลง

และเราจะเข้าใจ

ตอนนี้มานั่งมองสิ่งที่ผ่านไป กลับแลดูง่าย แต่ในโมงยามและห้วงขณะนั้นของชีวิต มันช่างยากลำบาก แต่ละลมหายใจที่ผ่านไป มันช่างยาวนาน ไม่รู้ว่าการหลับตาลงจะเป็นจุดสิ้นสุด เพราะสุดท้ายเมื่อลืมตาตื่น ก็พาลต้องกลับมานึกคิด ถึงสิ่งคอยสะกิดใจ

 

 

โมงยามนั้น จึงทำได้เพียงร้องเพลง

เหมือนบทสวดขอศรัทธาจากอำนาจอันยิ่งใหญ่

หากแต่เมื่อร้องเพลงนี้ เหมือนผมกำลังถามหาศรัทธาจากภายในใจตัวเอง ไม่ต้องมากมาย ไม่ต้องยิ่งใหญ่ ไม่ต้องมาจากที่ใด ผมกำลังถามหาตัวเอง ถามถึงความเจ็บปวดป่วยไข้ที่อยู่ภายใน พยายามลำดับความ จับชีพจรและการเต้นของใจ ว่าวิ่งหนีไปทิศทางใด ลำดับความให้ดีว่า ก่อนที่อาการจะหนักนั้น อะไรที่กระทบใจเราให้ต้องระส่ำระสายถึงเพียงนี้

 

ผมคิดเพียงแค่ว่า

ถ้าจะต้องแก้ปม ด้วยการรื้อสายเชือกความรู้สึกไปเรื่อยๆ สักวันผมจะพบปมที่แอบซ่อนอยู่นั้น เพราะเรารู้ว่าเชือกเส้นเดียวกันนั้น จะนำพาเราไปจนถึงปมแห่งสายเชือกชีวิต พาเราไปพบกับความจริงที่เราพยายามกองไว้ในม้วนเชือก

 

หลังจากนั้น

เวลาที่ผ่านความเหงามาได้อย่างยากลำบาก

ผมจะนึกถึงคืนวันยามเหงาใจ นั่งคิดถึงความร้อนในใจ คิดถึงความหนาวเย็นที่พัดมาเหมือนลมหนาว มาเรื่อยเรื่อย  จนเมื่อผ่านไปและเข้าใจได้ว่า ช่วงเวลาเหล่านั้นกับการร้องเพลงให้ความเหงาอยู่กับเรา อยู่กับตัวเอง หรืออยู่ข้างขอบฟ้า ล้วนเป็นการไล่เรียงไปสู่เหตุแห่งปัญหาแห่งความเหงาทั้งสิ้น ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงต้องคิดไป คิดไปเรื่อยจนพบกับจุดที่เชื่อมเราไว้กับปัญหา พบปมในใจ

 

 

ครั้งหนึ่งเหมือนได้บทสรุปหน้าหนึ่งของชีวิต

ครั้งหนึ่งที่ผมเคยอธิบายความเจ็บปวดใจ ยามนั่งสนทนาข้ามคืนกับมิตร อธิบายถึงโมงยามที่ก้าวผ่าน ด้วยการไล่เชือกไล่ปมปัญหา เขาอุทานขึ้นขณะหยิบแก้วตรงหน้า

 

เออ ยังดี  ดีที่หาปมปัญหาเจอ จากไอ้เชือกที่จับอยู่

ไม่งั้นคงซวย เซ็ง และเศร้าหนักกว่านี้  เพราะถ้าไอ้ที่ไล่เรียงไปเรื่อยเรื่อย สาวเชือกไปสาวเชือกมา แล้วพบว่า ที่กำลังสาวเชือกอยู่ มันคนละเส้นกับที่ต้องการจะหา มันคงจะเศร้าหนักเนอะ

 

ทุกข์ที่หาเหตุความทุกข์ไม่เจอ

เหงาที่หาความเหงาไม่เจอ

เออ ยังดี

ดีที่เหงา แล้วยังไม่ซวย

 

 

หมายเหตุ - ชื่อความเรียง ได้แรงบันดาลใจและความประทับใจจาก ชื่อบทเพลง เคยเหงาอยู่บ้างข้างขอบฟ้า ผลงานชุด เพลงบทน้อย ผลงานการสร้างสรรค์บทเพลงของ เอี้ยว ณ ปานนั้น -  http://www.aeawthatsong.com

สามารถฟังบทเพลงได้จากเวปไซต์ดังกล่าว

หมายเลขบันทึก: 141279เขียนเมื่อ 24 ตุลาคม 2007 04:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 21:10 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท