นิวเคลียร์ในอิสราเอล(ต่อ)


เลือดไม่ใช่น้ำตา:บทสรุปสงครามเลบานอน – อิสราเอล

พลังงานอันมากมายมหาศาลที่อยู่ในกระบวนการแตกตัวของอะตอม  เช่น  การเสื่อมลงของกัมมันตรังสีโดยธรรมชาติ  สามารถทำให้สิ่งมีชีวิตที่เข้าไปติดต่อกับมันเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปไปจากเดิมได้  ไฟและความร้อนที่ทวีขึ้นอย่างมหาศาลในการระเบียบนิวเคลียร์และสารประกอบที่นำมาใช้นั้นจะทำลายและเปลี่ยนรูปร่างของสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตในรัศมีอันกว้างขวางของมัน  ยิ่งกว่าการระเบิดของภูเขาไฟเสียอีก  การแผ่รังสีที่เดินทางไปไกลและอาจจะถูกนำพาขึ้นไปยังบรรยากาศเบื้องบน  ถ้ามีความผิดพลาดเกิดขึ้นก็ทำลายสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลมากมายต่อชีวิต  และสุขภาพของเหยื่อเคราะห์ร้ายเป็นเวลานานถึงลูกหลานที่ตามมา  มันแทบจะเหมือนกับเป็นลางบอกเหตุถึงวันสิ้นโลก  เมื่อมันเต็มไปด้วยความชั่วช้านานชนิด  คัมภีร์กุรอานได้เตือนเกี่ยวกับวันสุดท้ายว่า

                เมื่อโลกสั่นสะเทือนด้วยแรงสั่นสะเทือน  และโลกได้โยสิ่งที่มันแบกไว้ออกมา  และมนุษย์ร้องว่า  อะไรเกิดขึ้นกับมัน?”  ในวันนั้น  มันจะประกาศข่าวของมัน  เพราะพระผู้อภิบาลของเจ้าจะให้มันพูดออกมา  ในวันนั้น  มนุษย์จะออกมาเป็นหมู่ ๆ เพื่อที่จะได้เห็นการกระทำของพวกเขา  หลังจากนั้น ใครก็ตามที่ทำความดีไว้แม้แต่เพียงอณูหนึ่งก็จะได้เห็นมัน และผู้ใดทำความชั่วไว้แม้เพียงอณูหนึ่งก็จะได้เห็นมัน  (กรุอาน 99 : 1-8)

                นอกจากการแผ่รังสีที่เกิดจากระเบิดปรมาณูหรือการรั่วจากโรงงานนิวเคลียร์และสถานที่อื่น ๆ แล้ว  สิ่งมีชีวิตทั้งหมดก็ต้องได้รับการแผ่รังสีโดยธรรมชาติอยู่แล้ว  เช่น  รังสีคอสมิคซึ่งมาจากอวกาศภายนอกและจากสารบนพื้นดิน  เช่น  ยูเรเนียมและธอเรียมในหิน  ดินและน้ำทะเล  หรือแกสเรดอนกัมมันตภาพรังสีนั้นวัดกันเป็นหน่วย  เบคเกอเรล  (becquerrels)  และหนึ่งเบคเกอเรลก็คือ     การแตกตัวทางกัมมันตภาพรังสีหนึ่งครั้งต่อวินาที     มนุษย์ได้รับกัมมันตภาพรังสี   60,000  เบคเกอรเรลโดยเฉลี่ยจากแหล่งทางธรรมชาติที่สมดุลกับโครงสร้างทางชีววิทยาของเขา กัมมันตภาพรังสีทำลายร่างกาย  โดยการทำลายเซลล์ในระบบชีววิทยาด้วยรังสีพลังสูงและอนุภาคที่เกิดขึ้นเมื่ออะตอมหนึ่งแตกตัวออก  มนุษย์  สัตว์  และพืชมีกลไกคุ้มครองอยู่ภายในฟิฏเราะฮฺ  (ธรรมชาติดั้งเดิม)  ที่พระเจ้าสร้างให้เพื่อป้องกันการทำลายและซ่อมแซมมันอยู่แล้ว  แต่การเพิ่มระดับกัมมันภาพรังสีทางธรรมชาติอีกเพียงเล็กน้อยก็อาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหรือข้อบกพร่องทางพันธุกรรมได้  

                โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ในภาวะปกติจะผลิตสารประกอบทางด้านกัมมันตภาพรังสีที่เป็นอันตรายอย่างร้ายแรงขึ้นมา  กระบวนการพลังงานนิวเคลียร์จะไปเพิ่มกัมมันตภาพรังสีตามธรรมชาติเดิมในยูเรเนียมให้สูงขึ้นเป็นล้านเท่าหรือมากกว่านั้น  ของเสียระดับสูงที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นมีอำนาจการส่งรังสีได้จนมันต้องถูกนำออกไปทิ้งให้ห่างไกลจากการทำให้เปรอะเปื้อนเป็นเวลาหลายพันปีหรือหลายแสนปี  เพื่อที่จะทำให้กัมมันตภาพรังสีของมันไม่เป็นอันตรายต่อเซลล์ที่มีชีวิต  อุบัติเหตุนอกเหนือไปจากของเสียระดับต่ำซึ่งถูกปล่อยออกมาในสิ่งแวดล้อมภายในระยะ  ปลอดภัย นั้นก็มีรายงานว่าได้ทำให้สิ่งแวดล้อมเป็นพิษอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ถึงแม้สิ่งที่เรียกว่า ระดับต่ำซึ่งกล่าวว่าปลอดภัยนั้นก็ยังเป็นที่น่าสงสัยในทางวิทยาศาสตร์ และเรื่องนี้ก็ยังเป็นที่โต้แย้งกันอยู่ (ธวัช ชิตตระการ, 2531:25)

                เดวิด  เดย์   ได้ประเมินไว้ในหนังสือเรื่อง  Eco Ware  ของเขาว่ามีสถานีพลังงานนิวเคลียร์  380  แห่งเดินเครื่องอยู่ใน 26 ประเทศโดยสหรัฐและสหภาพโซเวียตมีจำนวนมากที่สุด  แต่หลังจากนั้นได้ประมาณกันว่ามีถึง 500 สถานี  ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศอุตสาหกรรมตะวันตกและประเทศเล็ก ๆ อย่างเช่น  อิสราเอล  อินเดีย  และเชคโกสโลวาเกียที่ล่มสลายไปแล้ว  ประเทศเหล่านี้ได้รับวิธีการ  อุปกรณ์  และวัตถุดิบจากตะวันตก  หลายประเทศอย่างเช่น  อังกฤษ  ฝรั่งเศส  เยอรมัน  สวีเดน  แคนาดา  จีน  และญี่ปุ่น  ก็มีสถานีพลังงานอื่น ๆ ส่วนใหญ่  มีรายงานว่าปากีสถาน  อิหร่าน  เกาหลี  และอาฟริกาใต้  ก็มีอาวุธและเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ด้วยเช่นกัน  เตาปฏิกรณ์พลังงานนิวเคลียร์นี้เป็นมหัตภัยยิ่งกว่ากองกำลังทหารของตะวันตกเสียอีก  ไม่ว่าจะมองในแง่ไหนก็ตาม  โลกนี้กำลังนั่งอยู่บนถังดินระเบิดเต็มเปี่ยมที่พร้อมจะระเบิดเมื่อใดก็ได้  ถ้าไม่มีการควบคุมทางด้านวัตถุและจริยธรรมที่ดี  หากประเทศที่ถูกเรียกว่า  มหาอำนาจไม่มีสำนึกทางศีลธรรม  แค่เพียงลงนามในสนธิสัญญาก็ไม่สามารถผูกมัดประเทศเหล่านั้น  หรือประเทศอื่น ๆ ให้เชื่อฟังอำนาจของสัญญาได้  ลองดูอาวุธปรมาณูของโลกที่มหาอำนาจนิวเคลียร์มีไว้ในครอบครองและลองคิดดูถึงอำนาจการทำลายล้างอย่างมหาศาล  และการสร้างมลภาวะของมันดูก็ได้(บรรจง  บินกาซัน แปล, 2547: 73)   นั่นคือเหตุผลทีว่าทำไมการเรียกร้องมวลชนและผู้นำทางศาสนา  จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อกระตุ้นความสำนึกของคนเหล่านั้น  คนเหล่านั้นจะต้องออกมาเคลื่อนไหวโดยการพูดคุย และสมานฉันท์กันแทนที่จะเผชิญหน้ากันอย่างรุนแรงในสงคราม  ครูเสด  ความเป็นใหญ่  หรือ  การล้างเผ่าพันธุ์  สิ่งเหล่านี้เป็นกระบวนการของระบบโลกของชาวยูดา-คริสเตียนที่ล่มสลายไปแล้ว  ขณะนี้เป็นเวลาของมุสลิมที่จะยืนขึ้นมาเพื่อการเปิดเผยคุณค่าของมัน  โลกรู้ดีถึงอำนาจการทำลายล้าอย่างรุนแรงของปรมาณู  ดังนั้น เมื่อโลกกลับการขัดแย้งทางทหารที่ไม่อาจคาดคิดระหว่างสองมหาอำนาจ  พวกเขาจึงได้เจรจากัน  ในที่สุด พวกเขาก็มาลงเอยกันที่สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายนิวเคลียร์  (The Nuclear Non-Proliferation Treaty of 1963)  สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายนิวเคลียร์ปี 1963  ได้ห้ามการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ในชั้นบรรยากาศ ในอวกาศภายนอกและใต้น้ำ

                นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบสารสตรอนเตียม 90 (Strontium)  จำนวนที่เป็นอันตรายทางด้านชีวภาพในน้ำนมวัวซึ่งมาจากการทดลองนิวเคลียร์ในบรรยากาศชั้นบน  การค้นพบที่น่าหวาดวิตกนี้ ทำให้ผู้คนต้องส่งเสียงร้องไปทั่วโลก  และนำไปสู่สนธิสัญญา  สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายนิวเคียร์นี้ได้มีส่วนช่วยทำให้แก่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ช้าลงนอกกลุ่มจี 5  แต่สนธิสัญญานี้ได้หมดอายุในปี ค.ศ.1995  ดังนั้น ชาติมหาอำนาจจึงได้ออกมาขยายเวลามันออกไปโดยไม่จำกัดเวลา  ประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ได้คัดค้านโดยอาศัยเหตุผลสองประการ  ประการแรกคือ  มันควรจะรวมประเทศที่มีอำนาจนิวเคลียร์  อย่างเช่น  อิสราเอล  อินเดีย  อาฟริกาใต้  และประเทศอื่น ๆ ด้วย  ประการที่สอง  ควรจะยับยั้งการผูกขาดตามอำเภอใจของมหาอำนาจทั้งห้าด้วย

                ผู้คนรู้สึกว่าสหประชาชาติจะต้องดำเนินบทบาทด้านศีลธรรมและจริยธรรมใหม่มากกว่าการทูตมหาอำนาจทางวัตถุในเรื่องที่เป็นอันตรายร้ายแรงนี้  อย่างไรก็ตาม  สหประชาชาติก็เป็นความพยายามทางด้านวัตถุของบรรดาชาติต่าง ๆ ที่กำลังผลักดันรัฐบาลโลกที่เหลือกว่าชาติใดชาติหนึ่ง  ในขณะที่ยังรักษาความเป็นใหญ่ของอำนาจยูดา-คริสเตียนไว้  มุสลิมรู้ว่าความเป็นไปได้ทางด้านจริยธรรมในยุคนี้    หรือในยุคไหนก็ตาม    คือ   ชะรีอ๊ะฮฺ    (กฎหมาย)  ของอิสลามเท่านั้น  การจะนำกฎหมายอิสลามทั้งหมดมาใช้นั้นก็ต้องอาศัยระบบคิลาฟะฮฺ    (อำนาจการปกครองที่มีเคาะลีฟะฮฺเป็นผู้ใช้กฎหมายอิสลาม)  เป็นส่วนบูรณาการซึ่งจะประกันความยุติธรรมสำหรับผู้คนทุกความเชื่อและมีการใช้ทรัพยากรและปฏิบัติต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมีจริยธรรม  เมื่อการทดลองนิวเคลียร์ในแผ่นดิน  ใต้ดิน  จีน  และอังกฤษดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้งด้วยการคุ้มครองพิเศษสำหรับประเทศที่ได้รับการคัดเลือกของตน  วัตถุประสงค์ของสนธิสัญญาก็ที่มีการต่ออายุผ่านทางสหประชาชาติใน ค.ศ.1996  ก็จะถูกลบล้างและสหประชาชาติก็จะถูกมองว่าเป็นอะไร  สโมสรที่ถูกควบคุมโดยคนที่ลงทุนไปในพลังงานและอาวุธนิวเคลียร์จะทิ้งไปอย่างไรก็ได้ (บรรจง  บินกาซัน แปล, 2547:76)   ก่อให้เกิดประเทศที่ถูกกดขี่ขมเหงได้รับความเสียหายมาตลอดจนกระทั่งหลายๆประเทศจะทนไม่ไว้กับการกระทำดังกล่าว  อันส่งผลประเทศต่างๆต้องมีอำนาจเหมือนกับเขามีเช่นกัน จึงมีแนวคิดที่จะสร้างอาวุธนิวเคลียร์แต่ประเทศมหาอำนาจได้กีดขวางไม่ประเทศใดมีอาวุธนิวเคลียร์ได้เพียงแค่ประเทศของพวกตนเท่านั้นที่สามารถจะมีนิวเคลียร์ได้

คำสำคัญ (Tags): #ตะวันออกกลาง
หมายเลขบันทึก: 140100เขียนเมื่อ 19 ตุลาคม 2007 14:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 21:06 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท