พลังงานอันมากมายมหาศาลที่อยู่ในกระบวนการแตกตัวของอะตอม เช่น การเสื่อมลงของกัมมันตรังสีโดยธรรมชาติ สามารถทำให้สิ่งมีชีวิตที่เข้าไปติดต่อกับมันเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปไปจากเดิมได้ ไฟและความร้อนที่ทวีขึ้นอย่างมหาศาลในการระเบียบนิวเคลียร์และสารประกอบที่นำมาใช้นั้นจะทำลายและเปลี่ยนรูปร่างของสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตในรัศมีอันกว้างขวางของมัน ยิ่งกว่าการระเบิดของภูเขาไฟเสียอีก การแผ่รังสีที่เดินทางไปไกลและอาจจะถูกนำพาขึ้นไปยังบรรยากาศเบื้องบน ถ้ามีความผิดพลาดเกิดขึ้นก็ทำลายสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลมากมายต่อชีวิต และสุขภาพของเหยื่อเคราะห์ร้ายเป็นเวลานานถึงลูกหลานที่ตามมา มันแทบจะเหมือนกับเป็นลางบอกเหตุถึงวันสิ้นโลก เมื่อมันเต็มไปด้วยความชั่วช้านานชนิด คัมภีร์กุรอานได้เตือนเกี่ยวกับวันสุดท้ายว่า
เมื่อโลกสั่นสะเทือนด้วยแรงสั่นสะเทือน และโลกได้โยสิ่งที่มันแบกไว้ออกมา และมนุษย์ร้องว่า “อะไรเกิดขึ้นกับมัน?” ในวันนั้น มันจะประกาศข่าวของมัน เพราะพระผู้อภิบาลของเจ้าจะให้มันพูดออกมา ในวันนั้น มนุษย์จะออกมาเป็นหมู่ ๆ เพื่อที่จะได้เห็นการกระทำของพวกเขา หลังจากนั้น ใครก็ตามที่ทำความดีไว้แม้แต่เพียงอณูหนึ่งก็จะได้เห็นมัน และผู้ใดทำความชั่วไว้แม้เพียงอณูหนึ่งก็จะได้เห็นมัน” (กรุอาน 99 : 1-8)
นอกจากการแผ่รังสีที่เกิดจากระเบิดปรมาณูหรือการรั่วจากโรงงานนิวเคลียร์และสถานที่อื่น ๆ แล้ว สิ่งมีชีวิตทั้งหมดก็ต้องได้รับการแผ่รังสีโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เช่น รังสีคอสมิคซึ่งมาจากอวกาศภายนอกและจากสารบนพื้นดิน เช่น ยูเรเนียมและธอเรียมในหิน ดินและน้ำทะเล หรือแกสเรดอนกัมมันตภาพรังสีนั้นวัดกันเป็นหน่วย “เบคเกอเรล” (becquerrels) และหนึ่งเบคเกอเรลก็คือ การแตกตัวทางกัมมันตภาพรังสีหนึ่งครั้งต่อวินาที มนุษย์ได้รับกัมมันตภาพรังสี 60,000 เบคเกอรเรลโดยเฉลี่ยจากแหล่งทางธรรมชาติที่สมดุลกับโครงสร้างทางชีววิทยาของเขา กัมมันตภาพรังสีทำลายร่างกาย โดยการทำลายเซลล์ในระบบชีววิทยาด้วยรังสีพลังสูงและอนุภาคที่เกิดขึ้นเมื่ออะตอมหนึ่งแตกตัวออก มนุษย์ สัตว์ และพืชมีกลไกคุ้มครองอยู่ภายในฟิฏเราะฮฺ (ธรรมชาติดั้งเดิม) ที่พระเจ้าสร้างให้เพื่อป้องกันการทำลายและซ่อมแซมมันอยู่แล้ว แต่การเพิ่มระดับกัมมันภาพรังสีทางธรรมชาติอีกเพียงเล็กน้อยก็อาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหรือข้อบกพร่องทางพันธุกรรมได้
โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ในภาวะปกติจะผลิตสารประกอบทางด้านกัมมันตภาพรังสีที่เป็นอันตรายอย่างร้ายแรงขึ้นมา กระบวนการพลังงานนิวเคลียร์จะไปเพิ่มกัมมันตภาพรังสีตามธรรมชาติเดิมในยูเรเนียมให้สูงขึ้นเป็นล้านเท่าหรือมากกว่านั้น ของเสียระดับสูงที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นมีอำนาจการส่งรังสีได้จนมันต้องถูกนำออกไปทิ้งให้ห่างไกลจากการทำให้เปรอะเปื้อนเป็นเวลาหลายพันปีหรือหลายแสนปี เพื่อที่จะทำให้กัมมันตภาพรังสีของมันไม่เป็นอันตรายต่อเซลล์ที่มีชีวิต อุบัติเหตุนอกเหนือไปจากของเสียระดับต่ำซึ่งถูกปล่อยออกมาในสิ่งแวดล้อมภายในระยะ “ปลอดภัย” นั้นก็มีรายงานว่าได้ทำให้สิ่งแวดล้อมเป็นพิษอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ถึงแม้สิ่งที่เรียกว่า ระดับต่ำซึ่งกล่าวว่าปลอดภัยนั้นก็ยังเป็นที่น่าสงสัยในทางวิทยาศาสตร์ และเรื่องนี้ก็ยังเป็นที่โต้แย้งกันอยู่ (ธวัช ชิตตระการ, 2531:25)เดวิด เดย์ ได้ประเมินไว้ในหนังสือเรื่อง Eco Ware ของเขาว่ามีสถานีพลังงานนิวเคลียร์ 380 แห่งเดินเครื่องอยู่ใน 26 ประเทศโดยสหรัฐและสหภาพโซเวียตมีจำนวนมากที่สุด แต่หลังจากนั้นได้ประมาณกันว่ามีถึง 500 สถานี ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศอุตสาหกรรมตะวันตกและประเทศเล็ก ๆ อย่างเช่น อิสราเอล อินเดีย และเชคโกสโลวาเกียที่ล่มสลายไปแล้ว ประเทศเหล่านี้ได้รับวิธีการ อุปกรณ์ และวัตถุดิบจากตะวันตก หลายประเทศอย่างเช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน สวีเดน แคนาดา จีน และญี่ปุ่น ก็มีสถานีพลังงานอื่น ๆ ส่วนใหญ่ มีรายงานว่าปากีสถาน อิหร่าน เกาหลี และอาฟริกาใต้ ก็มีอาวุธและเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ด้วยเช่นกัน เตาปฏิกรณ์พลังงานนิวเคลียร์นี้เป็นมหัตภัยยิ่งกว่ากองกำลังทหารของตะวันตกเสียอีก ไม่ว่าจะมองในแง่ไหนก็ตาม โลกนี้กำลังนั่งอยู่บนถังดินระเบิดเต็มเปี่ยมที่พร้อมจะระเบิดเมื่อใดก็ได้ ถ้าไม่มีการควบคุมทางด้านวัตถุและจริยธรรมที่ดี หากประเทศที่ถูกเรียกว่า มหาอำนาจไม่มีสำนึกทางศีลธรรม แค่เพียงลงนามในสนธิสัญญาก็ไม่สามารถผูกมัดประเทศเหล่านั้น หรือประเทศอื่น ๆ ให้เชื่อฟังอำนาจของสัญญาได้ ลองดูอาวุธปรมาณูของโลกที่มหาอำนาจนิวเคลียร์มีไว้ในครอบครองและลองคิดดูถึงอำนาจการทำลายล้างอย่างมหาศาล และการสร้างมลภาวะของมันดูก็ได้(บรรจง บินกาซัน แปล, 2547: 73) นั่นคือเหตุผลทีว่าทำไมการเรียกร้องมวลชนและผู้นำทางศาสนา จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อกระตุ้นความสำนึกของคนเหล่านั้น คนเหล่านั้นจะต้องออกมาเคลื่อนไหวโดยการพูดคุย และสมานฉันท์กันแทนที่จะเผชิญหน้ากันอย่างรุนแรงในสงคราม “ครูเสด” ความเป็นใหญ่” หรือ “การล้างเผ่าพันธุ์” สิ่งเหล่านี้เป็นกระบวนการของระบบโลกของชาวยูดา-คริสเตียนที่ล่มสลายไปแล้ว ขณะนี้เป็นเวลาของมุสลิมที่จะยืนขึ้นมาเพื่อการเปิดเผยคุณค่าของมัน โลกรู้ดีถึงอำนาจการทำลายล้าอย่างรุนแรงของปรมาณู ดังนั้น เมื่อโลกกลับการขัดแย้งทางทหารที่ไม่อาจคาดคิดระหว่างสองมหาอำนาจ พวกเขาจึงได้เจรจากัน ในที่สุด พวกเขาก็มาลงเอยกันที่สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายนิวเคลียร์ (The Nuclear Non-Proliferation Treaty of 1963) สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายนิวเคลียร์ปี 1963 ได้ห้ามการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ในชั้นบรรยากาศ ในอวกาศภายนอกและใต้น้ำ
นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบสารสตรอนเตียม 90 (Strontium) จำนวนที่เป็นอันตรายทางด้านชีวภาพในน้ำนมวัวซึ่งมาจากการทดลองนิวเคลียร์ในบรรยากาศชั้นบน การค้นพบที่น่าหวาดวิตกนี้ ทำให้ผู้คนต้องส่งเสียงร้องไปทั่วโลก และนำไปสู่สนธิสัญญา สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายนิวเคียร์นี้ได้มีส่วนช่วยทำให้แก่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ช้าลงนอกกลุ่มจี 5 แต่สนธิสัญญานี้ได้หมดอายุในปี ค.ศ.1995 ดังนั้น ชาติมหาอำนาจจึงได้ออกมาขยายเวลามันออกไปโดยไม่จำกัดเวลา ประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ได้คัดค้านโดยอาศัยเหตุผลสองประการ ประการแรกคือ มันควรจะรวมประเทศที่มีอำนาจนิวเคลียร์ อย่างเช่น อิสราเอล อินเดีย อาฟริกาใต้ และประเทศอื่น ๆ ด้วย ประการที่สอง ควรจะยับยั้งการผูกขาดตามอำเภอใจของมหาอำนาจทั้งห้าด้วย
ผู้คนรู้สึกว่าสหประชาชาติจะต้องดำเนินบทบาทด้านศีลธรรมและจริยธรรมใหม่มากกว่าการทูตมหาอำนาจทางวัตถุในเรื่องที่เป็นอันตรายร้ายแรงนี้ อย่างไรก็ตาม สหประชาชาติก็เป็นความพยายามทางด้านวัตถุของบรรดาชาติต่าง ๆ ที่กำลังผลักดันรัฐบาลโลกที่เหลือกว่าชาติใดชาติหนึ่ง ในขณะที่ยังรักษาความเป็นใหญ่ของอำนาจยูดา-คริสเตียนไว้ มุสลิมรู้ว่าความเป็นไปได้ทางด้านจริยธรรมในยุคนี้ หรือในยุคไหนก็ตาม คือ ชะรีอ๊ะฮฺ (กฎหมาย) ของอิสลามเท่านั้น การจะนำกฎหมายอิสลามทั้งหมดมาใช้นั้นก็ต้องอาศัยระบบคิลาฟะฮฺ (อำนาจการปกครองที่มีเคาะลีฟะฮฺเป็นผู้ใช้กฎหมายอิสลาม) เป็นส่วนบูรณาการซึ่งจะประกันความยุติธรรมสำหรับผู้คนทุกความเชื่อและมีการใช้ทรัพยากรและปฏิบัติต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมีจริยธรรม เมื่อการทดลองนิวเคลียร์ในแผ่นดิน ใต้ดิน จีน และอังกฤษดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้งด้วยการคุ้มครองพิเศษสำหรับประเทศที่ได้รับการคัดเลือกของตน วัตถุประสงค์ของสนธิสัญญาก็ที่มีการต่ออายุผ่านทางสหประชาชาติใน ค.ศ.1996 ก็จะถูกลบล้างและสหประชาชาติก็จะถูกมองว่าเป็นอะไร สโมสรที่ถูกควบคุมโดยคนที่ลงทุนไปในพลังงานและอาวุธนิวเคลียร์จะทิ้งไปอย่างไรก็ได้ (บรรจง บินกาซัน แปล, 2547:76) ก่อให้เกิดประเทศที่ถูกกดขี่ขมเหงได้รับความเสียหายมาตลอดจนกระทั่งหลายๆประเทศจะทนไม่ไว้กับการกระทำดังกล่าว อันส่งผลประเทศต่างๆต้องมีอำนาจเหมือนกับเขามีเช่นกัน จึงมีแนวคิดที่จะสร้างอาวุธนิวเคลียร์แต่ประเทศมหาอำนาจได้กีดขวางไม่ประเทศใดมีอาวุธนิวเคลียร์ได้เพียงแค่ประเทศของพวกตนเท่านั้นที่สามารถจะมีนิวเคลียร์ได้
ไม่มีความเห็น