คุณฮาฟิซ สาและ: หลังจากนี้จะให้อาจารย์ได้ตอบคำถาม
อาจารย์ดัรวิช มูอาวัด: What is Hamas?
คุณฮาฟิซ สาและ: เมื่อสักครู่ผมยังไม่ได้เห็นคำถามชัดเจน ไม่แน่ใจว่าเป็นคำถามที่ว่าฮามาสคือใคร? และได้สรุปจากอาจารย์ดัรวิชว่า ฮามาสคือกลุ่มขบวนการที่เคลื่อนไหวในปาเลสไตน์ เราก็รู้ดีในอดีต ผมอาจจะเสริมข้อมูลส่วนตัวลงไปด้วย ในอดีตนั้นกลุ่มฮามาสถูกตราหน้าว่าเป็นกลุ่มก่อการร้ายอยู่ในบัญชีดำของอเมริกา ว่าเป็นกลุ่มหนึ่งที่ก่อการร้ายในปัจจุบัน ฮามาสนี้ได้ทำงานในระดับรากหญ้าอย่างแข่งขัน เข้มข้น และเป็นที่ไว้วางใจของคนปาเลสไตน์นะครับ เมื่อมองจากมุมมองของอเมริกาไม่คิดว่าฮามาสจะสามารถเข้ามาเล่นการเมืองในกระแสหลักได้ อเมริกาคาดหวังว่าประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นในปาเลสไตน์ความคาดหวังที่จะให้มีการเลือกตั้ง โดยวิธีการตามระบอบประชาธิปไตย แต่เมื่อมีการเลือกตั้งขึ้นมาแล้ว ปรากฏว่าเมื่อครั้งล่าสุด ฮามาสเป็นฝ่ายที่ได้รับชัยชนะ ได้รับเสียงข้างมาก ทำให้นายกรัฐมนตรีเป็นของฮามาสคือ อิสมาอิล ฮานียะห์ ซึ่งเป็นสัญญาณหนึ่งที่ผมอาจจะเสริมว่าคือเป็นสัญญาณของการมาของ Islam Political ที่ตะวันตกได้พูดถึงกันว่า มุสลิมเข้ามาในกระแสการเมืองมากยิ่งขึ้น ใช้อิสลามมาเล่นในการเมืองมากขึ้น แต่ว่าตรงนี้มันเป็สิ่งที่ขัดกับการมองของอเมริกา อเมริกาตั้งกติกาอย่างนี้แต่กลุ่มที่เข้ามาไม่ใช้พวกที่เขาต้องการ เขาก็จะพยายามล้มฮามาส จึงทำให้ฮามาสถูกบอยคอตจากอเมริกา อิสราเอล และจากอียู โดยที่เขาบอกว่าฮามาสนั้นไม่ยอมรับการมีอยู่ของอิสราเอล และยังไม่ปฏิเสธที่ใช้ความรุนแรง เมื่อเรามองอเมริการแล้ว เขาก็ใช้ความรุนแรงเหมือนกัน และใช้อยู่ตลอดเวลา และขณะเดียวกัน ไม่ต้องการให้คนอื่นใช้ความรุนแรงตรงนี้ เช่นเดียวกัน ผมขอเสริมตัวอย่างในอัลจีเรีย พบว่ามีการจัดเลือกตั้งตามที่ตะวันตกคาดหวังไว้ แต่ปรากฏว่ากลุ่มที่ชนะการเลือกตั้งก็เป็นนักการเมืองสายมุสลิมเช่นเดียวกัน ที่มีแนวความคิดอิสลาม ก็เลยไม่ยอม สุดท้ายก็ไม่ได้เป็นรัฐบาลเช่นกัน นี้คือภาพที่ตะวันตก กระทำต่อขบวนการเคลื่อไหวของมุสลิม และปัจจุบันนี้ด้วย ผมขอย้อนกลับมาที่ฮามาสที่พยายามจะรวมกลุ่มต่าง ๆ ในปาเลสไตน์และพยายามสร้างเอกภาพให้เกิดขึ้นให้ได้ โดยไม่อยากให้เกิดความขัดแย้ง ระหว่างฮามาสกับฮามาส และฮามาสกับฟาตะฮฺ ซึ่งเป็นอีกกลุ่มการเมืองหนึ่งที่เคยมีอำนาจในอดีต โดยการนำของมะห์มูด อับบาส แต่หลังจากการเลือกตั้งก็พ่ายแพ้แก่ฮามาส นี้ก็คร่าว ๆ
อาจารย์.ดร.อับดุลรอนิง สือแต: สำหรับคำถามที่ได้ถามมาเกี่ยวกับฮามมาสนั้นผมจะให้ส่วนที่เป็นรายละเอียดนิดหนึ่งว่า ฮามาสเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์อินติฟาเดาะห์ในปาเลสไตน์ ในปี 1987 หลังจากนั้นปีหนึ่งก็ได้เกิดกลุ่มฮามาสขึ้นมาโดยการนำของเชคอะห์หมัด ยาซีน สมาชิกส่วนใหญ่เป็นคนในขบวนการอิควานในปาเลสไตน์ ฉะนั้นแนวคิดของฮามาสเบื้องต้นคือเป็นแนวคิดที่มองอิสลามทั้งรูปแบบ ทั้งระบบ ไม่ใช่มองเพียงแค่การญิฮาดที่ใช้ความรุนแรง ใช้ดาบ ใช้อาวุธอย่างเดียว ในส่วนนี้เองจึงทำให้ฮามาสสามารถที่จะดึงใจของคนและสามารถกำคะแนนส่วนใหญ่ได้จากสังคมชาวปาเลสไตน์ จึงทำให้ฮามาสในวันนี้ประสบความสำเร็จในด้านการเมือง และในส่วนนี้เช่นเดียวกันก็เกิดขึ้นกับกลุ่มฮิซบุลลอฮฺ ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1982 หลังจากนั้นในปี 1994 ก็ได้ร่วมทางด้านการเมืองและได้ต่อสู้ทางด้านการเมือง และได้รับชัยชนะในปี 1994 และปี 1996 อีกครั้งหนึ่ง อีกทั้งยังมีเสียงในรัฐสภาของเลบานอนด้วย จึงทำให้ลักษณะการเคลื่อนไหวนั้นมีรูปแบบเช่นเดียวกับกลุ่มฮามาส เพียงแต่นิยมรูปแบบของอิหร่าน เพราะยึดถือในตัวของโคมัยนีในการเป็นผู้นำสูงสุดทางด้านจิตวิญญาณ ในส่วนเรื่องของฮามาสนั้นผมก็จะตอบคร่าว ๆ เพียงเท่านี้
และในส่วนของคำถามอื่น ๆ ที่ถามมาว่าทำไมปาเลสไตน์จึงทำสงครามกับเลบานอนเป็นการเข้าใจผิด ที่จริงแล้วอิสราเอลกับเลบานอนนั้นเองที่ทำสงครามอยู่ในขณะนี้ ก็ไม่เป็นไรสำหรับสงครามที่เกิดขึ้น เป้าหมายที่แท้จริงนั้นเพื่ออะไร เป็นคำถามหลาย ๆ คำถามที่ถามมา ที่จริงผมจะบอกว่าถ้าเรามองในวงกว้างในลักษณะที่ใช้ทฤษฎี Neo-con ตามที่อาจารย์ดัรวิชได้บอกก็ถูกต้องในแง่องค์รวมที่ครอบคลุมจากส่วนบน ซึ่ง Neo-con มีจุดหลักก็คือเป็นกลุ่มของบุช และสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ ตั้งแต่บุชผู้พ่อก็มีแนวความคิดอย่างนี้มาแล้ว ตั้งแต่สมัยเรแกนมาจนถึงบุชซึ่งช่วงหนึ่งขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี สามารถที่จะสืบทอดความคิดนี้ แต่พอลูกขึ้นมาก็สามารถที่จะสืบทอดแนวคิด Neo-con ขึ้นมา เราจะเห็นได้ว่า พวกที่ไม่อยู่ในสายของ Neo-con อย่างเช่น Pawell ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในสายกลาง เมื่อได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาลปรากฏว่า Pawell ก็ถูกเด้งออกไป และ Cororiza Right ขึ้นมาแทน เป็นตัวแทนที่จะขึ้นมาพิสูจน์ว่ารัฐบาลชุดนี้ของอเมริกาดำเนินนโยบายแข็งกร้าว และใช้การทหารนำการเมืองอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นบทพิสูจน์ที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกนั้นคือการมองในแง่ขององค์รวม ถ้าเรามองในจุดย่อยลงมา มองในส่วนของทฤษฎี และนโยบายต่างประเทศของอเมริกาเองนั้น เพื่อเป็นการปกป้องผลประโยชน์ให้กับอิสราเอล และพยายามที่จะให้รัฐอิสราเอลคงอยู่ในตะวันออกกลาง เพราะว่ารัฐอิสราเอลเป็นรัฐที่ 52 ของสหรัฐอเมริกาในการสนับสนุนในทุก ๆ ด้าน จะเห็นได้ว่าในแต่ละปี อเมริกาได้ให้ความช่วยเหลือเป็นเงินหมื่น ๆ ล้านต่ออิสราเอล เสมือนเป็นรัฐหนึ่งของอเมริการเลยที่เดียว ถ้าหากเราจะคงไว้ซึ่งอิสราเอล แน่นอนก็เหมือนกับทฤษฎีที่ผมได้บอกไปแล้ว การสร้างรัฐกันชน แน่นอนเลบานอนซึ่งมีฮิซบุลลอฮฮอยู่ได้ทำการโจมตีอยู่ตลอดได้รบกวนอยู่ทางภาคใต้ตลอดเวลา จึงทำให้อิสราเอลคิดว่าตนเองไม่มีความปลอดภัยในช่วงนี้ ต้องการที่จะทำลายทั้งหมดโดยจะใช้โอกาสทองในช่วงนี้ก็คือว่า อิหร่านไม่อยู่สภาพที่จะช่วยเหลือซีเรียก็อยู่ในสภาพที่ถูกทีบออกจากเลบานอน และโลกมุสลิมไม่มีความสามารถที่จะช่วยอีกทั้งสหประชาชาติก็เปรียบเสมือนเสือกระดาษที่ทำอะไรไม่ได้ จุดนี้เองคือโอกาสทองที่ทำให้อิสราเอลตัดสินใจบุกเข้าไปในเลบานอน กวาดกลุ่มฮิซบุลลอฮฺทั้งหมดแต่ทั้งหมดก็อยู่ในความดูแลของอัลลอฮฺ และอิสราเอลก็ได้ทำเพียงแค่นิดเดียว ซึ่งที่จริงแล้วสมาชิกของกลุ่มฮิซบุลลอฮฺที่เสียชีวิตไปมีเพียง 50 คนเท่านั้น แต่ว่าประชาชนที่ไม่รู้อะไร เป็นประชาชนธรรมดา ที่อยู่บริเวณนั้นก็ต้องเสียชีวิตเป็นจำนวนนับพันคน และเป็นจำนวนนับล้านที่จะต้องอพยพถิ่นฐานออกไป และยังมีอีกวิธีการหนึ่งที่อิสราเอลได้ใช้คือ การยิงเข้าไปแล้วทำให้คนที่แตกออกไปเสมือนผึ้งที่แตกรัง จากนั้นก็ต่อยเจ้าบ้าน คือว่าเมื่อเจ้าบ้านโดนผึ้งต่อยก็จะมาตีรังผึ้งเอง หมายความว่าการที่จะทำให้คนเกิดความระส่ำระส่าย และเป็นเหตุให้รัฐบาลนั้นคิดว่าจะต้องกำจัดกลุ่มฮิซบุลลอฮฺ เพราะรัฐบาลคิดว่ากลุ่มดังกล่าวนี้เป็นกลุ่มที่ทำให้เกิดความร่ำระส่ายในบ้านเมือง ซึ่งวิธีนี้เคยใช้มาแล้วในปี 1982 เป็นช่วงที่ ชัยซัน อิสมานเคยใช้ตีชีอะห์แตกเข้าไปทางตอนเหนือของเบรุต รบกวนจนเลบานอนทั้งประเทศอยู่ไม่ได้ จึงต้องมีการเจรจาเพื่อต้องเอามาสกัดกลุ่มที่ทำการเคลื่อนไหวอยู่ทางภาคใต้ นี้คือวิธีการของอิสราเอล การตีในครั้งนี้ก็ยังคงใช้นโยบายเหมือนเดิม ในส่วนนี้คือคำตอบที่ผมให้
และยังมีคำถามที่ถามว่า ทำไมสหประชาชาติไม่ทำอะไรเลย ก็คือปัญหาเรื่องอิสราเอลกับอาหรับ ที่จริงแล้วสหประชาติและคณะมนตรีใหญ่ทั้งหมด พยายามที่จะออกกฎบัตรออกมา แต่ไม่สามารถที่จะบังคับใช้ได้ อย่างเช่นหลังจากปี 1967 ดินแดนของอาหรับโดนยึดไปมากแล้วจึงออกกฎบัตรมาตรา 336 ,338 และ342 ปรากฏว่าไม่สามารถที่จะใช้ได้ แต่จะต้องถอนทหารออกไปให้หมด ถอนคืนดินแดน แต่ก็ไม่สามารถบังคับใช้ได้ นี้คือสหประชาชาติ และสิ่งที่ทำได้คือว่า ต้องให้อเมริกาเป็นตัวกลางในการเข้ามาเจรจา อย่างเช่นในกรณีของแคมป์เดวิดในปี 1979 ก็สามารถที่จะทำให้อิสราเอลถอนทหารออกจากซีนาย ซึ่งป็นดินแดนของอียิปต์ลงไปได้ จึงเป็นการมองเห็นได้ชัดเจนว่า สหประชาชาตินั้นเป็นเพียงแค่เสือกระดาษที่ถ้าหากไม่มีอเมริกาเป็นเสียงส่วนใหญ่ในการสนับสนุนกก็จะไม่มีอำนาจอะไร เพราะเสียงวีโต้ของอเมริการในการโต้แย้งนั้นก็จะตกหมด
สำหรับคำถามของสหประชาชาติที่น่าจะเกี่ยวข้องบ้างในส่วนนี้ และมีคำถามหนึ่งที่ถามว่า กรณีปัญหาเลบานอน เหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร กับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มันไม่เหมือนเลย ปัญหาแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คือว่าของเรานั้นกำลังเริ่มต้น ของเขาไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว และยังมีนัยอีกมากมายที่เป็นเบื้องหลังที่เรายังไม่รู้อีกเยอะ นัยทางการเมืองภายในประเทศที่มีความขัดแย้งอย่างรุนแรงมีผลทำให้เกิดสิ่งเลวร้ายต่อสังคมไทย และยังมีในเรื่องการล้มล้างสถาบันต่าง ๆ อีกมากมาย ถ้าจะนำมาวิเคราะห์กับปัญหาของเลบานอน ผมคิดว่ามันไม่เหมือนกันเนื่องจากว่ากองกำลังของต่างชาตินั้นได้รุกเข้ามาอย่างชัดเจน ถึงแม้ภายในประเทศจะมีความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา แต่ของเรานั้นยังไม่ถึงระดับนั้น
ในส่วนของคำถามที่ว่าจะแก้ปัญหาอาหรับ-อิสราเอลอย่างไร ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็มาจากขบวนการยิวไซออนนิสม์ ในส่วนนี้มันไม่ใช่ปัญหาของยิวและมุสลิม และไม่ใช่ปัญหาของคน 2 คนที่ต่อยกัน แน่นอนหลังจากนั้นเขาก็ต้องแยกย้ายกันกลับบ้าน แต่นี้มันไม่ใช่ เพราะนี้เกิดจากขบวนการหนึ่งที่พยายามจะเข้าไปยึดครองบ้านอีกคนหนึ่ง และทำกันเป็นขบวนการและรู้สึกว่า การเข้าไปยึดครองนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยที่กำนัน ผู้ใหญ่บ้านเหมือนกับเห็นด้วยที่จะเข้าไปยึดครองหมู่บ้านนี้ ดังนั้นขบวนการที่มีเป้าหมายในลักษณะเดียวกันนี้ แน่นอนไม่อาจที่จะสงบขึ้นมาได้ ดังเช่นเจ้าของแผ่นดินอย่างอาจารย์ดัรวิชก็ไม่ยอมให้บ้านเกิดของตัวเองตกอยู่ภายใต้ของผู้อื่น และผมคิดว่าการแก้ปัญหาที่ถูกต้องก็คือการดับความต้องการของผู้ที่ไม่ใช่สิทธิ์ที่จะได้รับสิ่งนั้นมา จึงจะทำให้เหตุการณ์นั้น
ไม่มีความเห็น