ช่วงวันที่ ๑๑ – ๑๓ ตุลาคม นี้ ผู้เขียนเดินทางมาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อเข้าร่วมการประชุมปฏิบัติการ เรื่อง การพัฒนาการจัดการความรู้ สำหรับทีมแกนนำ หรือ KM Cognitive Coaching ของโครงการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรทางการศึกษาด้วยการจัดการความรู้ (EdKM) ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ปรับเพิ่มเข้ามา หลังจากที่ได้มีการจัดมหกรรมตลาดนัดการจัดการความรู้ ๔ ภูมิภาคไปแล้ว ทั้งนี้ เป็นการปรับกิจกรรมเพื่อให้การดำเนินโครงการวิจัยฯ ในปีที่ ๒ บรรลุผลตามวัตถุประสงค์มากที่สุด กิจกรรมนี้ต้องการให้กลุ่มเป้าหมายแกนนำได้ทบทวน และเพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับหลักการ ปรัชญาแนวคิด และกระบวนการจัดการความรู้ที่สำคัญ เพื่อให้เกิดการนำไปใช้ในการพัฒนางานได้ถูกต้องและชัดเจนยิ่งขึ้น
การประชุมปฏิบัติการ เรื่อง การพัฒนาการจัดการความรู้ สำหรับทีมแกนนำ หรือ KM Cognitive Coaching มีกำหนดจัดขึ้นทั้งหมด ๕ ครั้ง โดยแบ่งตามภูมิภาคและกลุ่มผู้เข้าร่วม ซึ่งครั้ง ๑ – ๔ เป็นกลุ่มโรงเรียนตามแต่ละภาค ส่วนครั้งที่ ๕ เป็นกลุ่ม สพท. ทั้ง ๑๗ เขตที่เข้าร่วมโครงการฯ
- ครั้งที่ ๑ ภาคใต้ จัดไปแล้วเมื่อวันที่ ๑-๓ ตุลาคม ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี (ซึ่งผู้เขียนพลาดโอกาส ไม่ได้เข้าร่วม เนื่องจากติดภารกิจของ สคส. แต่ได้รับฟังจากทีมนักวิจัย บอกว่า ดีมากๆ โดยเฉพาะโรงเรียนสุราษฎร์ธานี ขอลำเอียงนิดหนึ่ง เพราะเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนนี้ด้วย คงไม่ว่ากันนะคะ)
- ครั้งที่ ๒ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จัดไปแล้วเช่นกัน เมื่อวันที่ ๗-๙ ตุลาคม ที่จังหวัดอุดรธานี (ซึ่งผู้เขียนก็ไม่ได้เข้าร่วมเช่นเคย แต่ได้รับฟังการ AAR จากทีมวิจัย บอกว่า ดีเช่นกัน บรรยากาศเป็นกัยาณมิตรมาก)
- ครั้งที่ ๓ ภาคกลาง (ที่กำลังจัดอยู่ในช่วงนี้คะ) ซึ่งรายละเอียดผู้เขียนจะเล่าต่อไป
- ครั้งที่ ๔ ภาคเหนือ จัดวันที่ ๒๔-๒๖ ตุลาคม ที่จังหวัดเชียงใหม่
- ครั้งที่ ๕ จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ และเป็นทีมแกนนำของ สพท. ทั้ง ๑๗ เขต
รูปแบบกิจกรรมของ KM Cognitive Coaching น่าสนใจมากคะ ซึ่งผู้เขียนจะค่อยๆ ทะยอยเล่าให้ฟัง พร้อมเก็บภาพบรรยากาศแบบกัยาณมิตรมาให้ชาว GotoKnow ได้ชื่นชมด้วยคะ
ในวันแรก ช่วงเช้า เมื่อแกนนำทะยอยเดินทางมาถึงและลงทะเบียนเพื่อรับเอกสารประกอบการประชุมเรียบร้อยแล้ว อ.วัฒนา อาทิตย์เที่ยง ผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยและพัฒนาการศึกษา จาก สกศ. ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดประชุมในครั้งนี้ และต่อด้วย “ครูใหญ่” ของเรา คือ ดร.สุวัฒน์ เงินฉ่ำ ในฐานะผู้อำนวยการโครงการ EdKM มากล่าวทบทวนและเน้นย้ำถึงวัตถุประสงค์ ผลการดำเนินงาน และความต้องการการพัฒนาการจัดการความรู้ขององค์กรเป้าหมายโครงการฯ
"ครูใหญ่"
วัตถุประสงค์โครงการฯ คือ
๑. เพื่อการศึกษารูปแบบการจัดการความรู้ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
๒. เพื่อศึกษารูปแบบการจัดการความรู้ของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
๓. เพื่อศึกษาการแพร่ขยายการจัดการความรู้ไปสู่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา
๔. เพื่อเสนอแนะนโยบายและยุทธศาสตร์ในการนำการจัดการความรู้มาสู่องค์กรทางการศึกษา
อ.สุวัฒน์ ได้บอกอีกด้วยว่า การนำ KM ไปใช้ของภาคการศึกษา ขณะนี้ไปเร็วกว่าที่คาดคิดมาก และKM ของภาคการศึกษาในปัจจุบันมี ๓ ลู่ที่เดินคู่ขนานกัน คือ
๑. โครงการ EdKM
๒. ก.พ.ร. ผ่านทาง สพฐ. ซึ่งจะเน้นการประเมินตามแนวของ ก.พ.ร.
๓. เกิดจากการที่ สพฐ. ปิ๊งวิธีการเช่นนี้ จึงให้นักวิจัยโครงการ EdKM ไปอบรมแกนนำในองค์กรทางการศึกษาในสังกัด สพฐ. และขยายผลไปทั่วทุกเขต ลู่นี้เน้นที่กลุ่มศึกษานิเทศก์
นอกจากนั้น อ.สุวัฒน์ ได้นำข้อมูลจากการเก็บข้อมูลวิจัย และจากแบบสอบถามงานมหกรรมตลาดนัดการจัดการความรู้ ๔ ภูมิภาค เรียกได้ว่าเป็นการมองเหลียวหลัง โครงการ EdKM ซึ่งแบ่งเป็น ๒ ช่วง คือ ๗ เดือนแรก (๑ มิถุนายน - ๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๙) และ ๘ เดือนหลัง (๑ มกราคม - ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๐) มานำเสนอ ใน ๓ ประเด็น คือ
๑. เราพากันมาถึงไหน อ.สุวัฒน์ นำเสนอด้วยกราฟ (ซึ่งเป็นกราฟ ณ เดือนเมษายน ๒๕๕๐ และเป็นช่วงเวลาก่อนงานมหกรรมตลาดนัด KM ๔ ภูมิภาค) เพื่อแสดงให้เห็นว่า ขณะนี้ KM ของโรงเรียน และ สพท. ที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้ดำเนินการไปถึงไหนกันแล้ว ซึ่งผลการเก็บข้อมูลของของนักวิจัย เรียกได้ว่า เป็นการ “หักปากกาเซียน” หรือ “ล้มล้างทฤษฎี” อย่างมาก เพราะตามทฤษฎีหรือความเชื่อของทีมนักวิจัย คือ สพท. ควรจะเป็นผู้สนับสนุนช่วยเหลือและประคับประครองให้โรงเรียนหรือสถานศึกษาได้ดำเนินการนำ KM ไปปรับใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพของโรงเรียนหรือสถานศึกษา แต่จากการเก็บข้อมูลตามสภาพความเป็นจริง เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกันเลย (กรุณาดูรูปประกอบ)
กราฟ "เราพากันมาถึงไหน"
เกณฑ์ของกราฟ “เราพากันไปถึงไหน?” คือ
- ระดับ ๒ ต่ำมาก
- ระดับ ๒.๕ ค่อนข้างต่ำ
- ระดับ ๓ ต่ำ
- ระดับ ๓.๕ ปานกลาง
- ระดับ ๔ สูง
- ระดับ ๔.๕ ค่อนข้างสูง
- ระดับ ๕ สูงมาก
จากกราฟจะเห็นว่า มีเพียง สพท. ๒ แห่ง จาก ๑๗ แห่ง และโรงเรียนหรือสถานศึกษา ๒ แห่ง จาก ๗๘ แห่ง ที่เข้าร่วมโครงการฯ ที่ได้ดำเนินการนำ KM ไปปรับประยุกต์ใช้ในองค์กรที่อยู่ในระดับ ๕ คือ ได้ผลดีสูงมาก ในขณะที่มีโรงเรียนและสถานศึกษา จำนวน ๒๑ แห่ง ที่อยู่ในระดับ ๒.๕ หรือ ค่อนข้างต่ำ และ สพท. ๙ แห่งจาก ๑๗ แห่ง ที่ยังอยู่ในระดับ ๒ คือ ระดับต่ำมาก
ผู้เขียนทราบข้อมูลเพิ่มเติมจากทีมนักวิจัยว่า ปัจจุบันกราฟนี้ในระดับ ๕ ได้มีการขยับเพิ่มขึ้นแล้ว (เป็นข่าวดีทีเดียวคะ)
๒. ได้อะไรบ้าง อ.สุวัฒน์ ได้ยกกรณีตัวอย่างที่กลุ่มเป้าหมายได้นำ KM ไปปรับประยุกต์ใช้ในองค์กร เช่น การบูรณาการคุณธรรมจริยธรรม การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การศึกษาเด็กพิเศษ การพัฒนาความสามารถในการอ่านเขียน การวิจัยในชั้นเรียน การจัดการเรียนรู้ของแต่ละกลุ่มสาระ/สายชั้นเรียน งานบริการ/สนับสนุนการสอน เผยแพร่และเรียนรู้ผ่าน Blog เป็นต้น และได้นำเสนอผลลัพธ์จากการที่ใช้ KM คือ
- เกิดความรัก/ความเข้าใจ/ความสามัคคี
- การหวง/ปิดบังความรู้ลดลง
- กล้าแสดงความคิดความสามารถเพิ่มขึ้น
- เกิดผู้นำในองค์กรเพิ่มขึ้น
- เพิ่มลักษณะการทำงานเป็นทีม
- เพิ่มบทบาทผู้ปกครอง/นักเรียน
๓. ยังต้องการอะไรอยู่อีกบ้าง อ.สุวัฒน์ ได้นำเสนอความต้องการใน ๒ ประเภท คือ
- ความรู้ความเข้าใจ KM พื้นฐาน มี ๔๘.๔๒% ที่ต้องการความรู้ความคิดเพิ่มเติม
- เครื่องมือ KM มีความต้องการความรู้ความคิดเกี่ยวกับเครื่องมือ KM จำนวน ๕๑.๖๘%
และสุดท้าย เราจะพากันไปไหน ซึ่ง อ.สุวัฒน์ ได้กล่าวเน้นย้ำ คือ ทั้งทีมนักวิจัยส่วนกลาง และทีมนักวิจัยในพื้นที่ ซึ่งก็คือ สพท. และโรงเรียนหรือสถานศึกษาที่เข้าร่วมโครงการฯ จะช่วยกันเพิ่มเติม เติมเต็ม ความต้องการ และวางแผน/ ทำงานเพื่อไปสู่เป้าหมายร่วมกัน
"ครูใหญ่" กับของเล่นชิ้นใหม่
(อ.สุวัฒน์ บอกว่า กำลังเรียนรู้การใช้ InterNet ผ่าน Bluetooth ของโทรศัพท์มือถือ)
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
คุณหญิงคะ
ลำเอียงมากไปหน่อยค่ะที่ลงรูปดร.สุวัฒน์คนเดียวตั้งสองครั้ง
ขอบคุณมากค่ะที่ทำให้ไม่ตกข่าว
หนาวค่ะ