ตรุษจีนปีนี้รู้สึกเปลี่ยนบรรยากาศไปอีกแบบหนึ่ง เพราะ ทุกปีจะต้อง (หาทาง) กลับบ้านเพื่อไปไหว้เจ้า อยู่กับครอบครัว แต่ปีนี้หาทางยังไงก็หาไม่เจอ เนื่องจากมีงานที่กองสุมไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมสอน การทำวิจัย การตรวจแบบฝึกหัดนักศึกษา ตรวจข้อสอบ (ชุดใหม่ที่มาวางตรงหน้าอีกกว่า 70 ฉบับ) แถมพรุ่งนี้ต้องเป็นกรรมการสอบสัมภาษณ์ (ว่าที่) นักศึกษาใหม่อีก วันจันทร์ก็ต้องสอนทั้งวัน หากยัง (หาทาง) กลับบ้านอีกก็ไม่รู้ว่าสภาพของตัวเองจะเป็นยังไงบ้างเมื่อกลับมาทำงาน เมื่อไม่ได้กลับบ้านต้องอยู่ที่ลำปางก็เลยได้เห็นบรรยากาศการจับจ่ายซื้อของ รวมทั้งการไหว้เจ้าของที่นี่ด้วย (เป็นปีแรก) บริเวณที่พักของผู้วิจัยอยู่ในย่านคนจีน จึงต้องตื่นเช้ากว่าปกติ ไม่ได้ตั้งใจตื่นหรอกค่ะ แต่จะนอนต่อก็ไม่ได้ เนื่องจากเสียงประทัดดังขึ้นเป็นระยะๆ ครั้งจะนั่งทำงานก็ไม่ได้อีก เพราะ ไม่มีสมาธิอันเนื่องมาจากเสียงประทัดและการนอนไม่เต็มที่ สรุปว่าไม่ได้ทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน (รู้อย่างนี้กลับบ้านดีกว่าค่ะ)
บ่น โอ๊ย! ไม่ใช่ เล่าเรื่องสัพเพเหระมาตั้งนาน มาเข้าเรื่องที่เป็นสาระกันดีกว่า ตั้งใจเอาไว้ (เหมือนทุกวัน) ว่าจะเล่าเรื่องการประชุมเครือจข่ายฯสัญจรไปเรื่อยๆจะได้รีบจบ เพื่อเล่าเรื่องใหม่ แต่เมื่อวานนี้ช่วง 16.30 น. ได้มีโอกาสเข้าไปอ่านความคิดเห็นของคุณภีมที่เขียนเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องการจัดการของเครือข่ายฯ (รู้สึกว่าจะเป็นตอนที่ 3.1 หรือ 3.2 นี่แหละค่ะ ขอโทษด้วยนะคะที่จำไม่ได้จริงๆว่าตอนที่เท่าไหร่) ก็เลยโทรไปหาน้องแหม่ม เผื่อว่าคุณภีมจะยังอยู่ที่ทำงานก็จะได้คุยเรื่องนี้ พอโทรไปน้องแหม่มบอกว่าคุณภีมกลับไปแล้วก็เลยไม่ได้คุยกัน ผู้วิจัยจึงตั้งใจว่าวันนี้จะขอไม่เล่าเรื่องการประชุมเครือข่ายฯสัญจร (ต่อ) สัก 1 วัน แต่จะขอแสดงความคิดเห็นต่อความคิดเห็นของคุณภีมก็แล้วกันนะคะ
เท่าที่จับความ (จำ) ได้ ถ้าเข้าใจไม่ผิด ผู้วิจัยคิดว่าคุณภีมกำลังเสนอแนะในเรื่องการบริหารจัดการเครือข่ายฯ โดยใช้ประสบการณ์ตรงจากการที่คุณภีมได้มีโอกาสเป็นพี่เลียงให้กับโครงการที่มีลักษณะการบริหารจัดการเหมือนกับของลำปางมาแล้ว ตรงนี้ความจริงแล้วทางเครือข่ายฯลำปางก็คิดอยู่เหมือนกัน (แต่ไม่มีการพูดคุยอย่างจริงจังและเป็นกิจลักษณะ) คงจะเป็นด้วยเงื่อนไขหลายประการที่ผู้วิจัยจะไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้ก็แล้วกันนะคะ
เมื่อได้อ่านความคิดเห็นของคุณภีมแล้ว สำหรับผู้วิจัยไม่ขอออกความเห็นว่าเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย ควรทำ หรือไม่ควรทำ ก็แล้วกันนะคะ ที่ไม่ออกความเห็นนั้นขอสารภาพตามตรงเลยค่ะว่ายังคิดไม่ออก เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนอยู่ในมือพอที่จะวิเคราะห์ได้ แต่ก็ใช่ว่าผู้วิจัยไม่คิดในเรื่องนี้นะคะ ความจริงแล้วผู้วิจัยคิดอยู่ตลอดเวลา (จริงๆนะ ไม่ได้โม้) และความคิดก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเมื่อวันประชุมเครือข่ายฯสัญจร เหมือนมีอะไร "ปิ๊งแวป" เข้ามาในสมอง (ที่มีอยู่น้อยนิด)
หากแต่ความคิดของผู้วิจัยนั้นไม่ใช่ความคิดที่ว่าจะบริหารจัดการเครือข่ายฯในระดับไหน (จังหวัด/ตำบล/กลุ่ม) แต่เป็นความคิดที่ว่าตอนนี้กองทุนสวัสดิการมีเงินพอไหมในการบริหารจัดการทั้งในปัจจุบันและอนาคต? ยอมรับว่าที่ผ่านมาจากการได้ลงพื้นที และจากการได้พูดคุยกับคณะกรรมการทำให้ได้ข้อมูลมาระดับหนึ่ง แต่ข้อมูลที่ได้ค่อนข้างจะขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อคุยกับกลุ่มที่มีสมาชิกน้อย (การตายก็น้อยตามไปด้วย) บอกว่า ตอนนี้เงิน 50 % สำหรับจัดสวัสดิการไม่พอ เพราะ ต้องไปเฉลี่ยช่วยกลุ่มที่มีสมาชิกมาก (เนื่องจากมีสมาชิกมาก ก็ตายมากด้วย) ส่วนกลุ่มที่มีสมาชิกมาก ก็บอกว่า ตอนนี้เงิน 50 % สำหรับจัดสวัสดิการไม่พอเช่นกัน เพราะ ต้องไปเฉลี่ยช่วยกลุ่มที่มีสมาชิกน้อย สรุปได้ว่าตอนนี้ไม่มีกลุ่มไหนเลย (จาก 19 กลุ่ม) ที่เงินพอ ตอนนี้ทุกกลุ่มต่างมีเงินติดลบ ต้องไปยืมเงินจากกองทุนอื่นๆมาใช้ก่อน เช่น กองทุนธุรกิจชุมชน (ซึ่งเป็นกองทุนที่ตอนนี้กลุ่มส่วนใหญ่ยังไม่ได้ใช้ เก็บสะสมเอาไว้เฉยๆ) กองทุนหมุนเวียน (สำหรับกลุ่มที่เปิดโอกาสให้มีการออมเพื่อกู้ด้วย) เป็นต้น ทางเครือข่ายฯก็ทราบปัญหานี้ดี ประธานฯและแกนนำได้แนะนำให้แต่ละกลุ่มเขียนโครงการขึ้นมาที่เครือข่ายฯเพื่อขอยืมเงิน 20 % ที่แต่ละกลุ่มส่งมาที่เครือข่ายฯทุกเดือนออกไปใช้ แต่ผู้วิจัยก็ยังไม่เห็นว่าจะมีกลุ่มไหนเขียนโครงการขึ้นมาขอยืมเลย (เมื่อเป็นการยืมก็ต้องคืนนะคะ แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาคืน เพราะ เงินติดลบอย่างนี้)
เมื่อได้ข้อมูลเบื้องต้นมาแล้ว นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้วิจัยต้องเข้าไปศึกษาแผนที่ภาคพื้นดิน (จากการที่ไปคุยกับพี่นก) ตอนแรกคิดว่าเข้าใจแผนที่ภาคสวรรค์ก็พอแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าไม่พอ พอไปศึกษาแผนที่ภาคพื้นดินซึ่งก็พยายามดำเนินการตามแผนที่ภาคสวรรค์ ตอนแรกก็ดูเหมือนว่าจะเข้าใจ แต่เป็นเพียงความเข้าใจโครงสร้างเท่านั้น จึงทำให้ผู้วิจัยมองไม่เห็นจุดที่ (ตัวเองคิดว่า) เป็นปัญหา จนกระทั่งการประชุมเครือข่ายฯสัญจรที่ผ่านมา การเสนอจากบางกลุ่มว่าขอให้ลดสัดส่วนของเงินที่ส่งมาทางเครือข่ายฯลงได้ไหม ระหว่างการถกเถียงกันอยู่นั้น (รายละเอียดจะเล่าให้ฟังในตอนต่อๆไปค่ะ) ไม่รู้อะไรดลใจผู้วิจัยให้คิดเกี่ยวกับการบริหารจัดการเงินในภาคปฏิบัติขึ้นมา
จากการนั่งคิดของผู้วิจัยทำให้ผู้วิจัยเกิดความคิดขึ้นมาว่าปัญหาอาจจะไม่ได้อยู่ที่ว่าจะบริหารจัดการแบบไหน (จังหวัด/ตำบล/กลุ่ม) แต่อาจจะอยู่ที่ว่าไม่ว่าจะบริหารจัดการแบบไหนก็มีปัญหาเดียวกัน คือ เงินไม่พอ การที่ผู้วิจัยคิดเช่นนี้ต้องขอบอกก่อนนะคะว่าผู้วิจัยนั้นจบทางด้านสังคมวิทยามา ไม่ได้เรียนในด้านเศรษฐศาสตร์ หรือด้านการเงินมาเลย ไม่มีความรู้ด้านเหล่านี้เลย จึงไม่ทราบว่าสิ่งที่ตนเองคิดว่าเป็นปัญหาอาจไม่ใช่ปัญหาก็ได้ ถ้านำหลักวิชาที่เกี่ยวข้องมาอธิบายหรือมาใช้ในการแก้ไข จัดการ
สำหรับหลักการคิดของผู้วิจัยนั้น นั่งคิดแบบคร่าวๆ นะคะ สมมติว่าเดือนหนึ่งเก็บเงินออมจากสมาชิก 1 คนได้ 30 บาท ในขณะนี้มีรายจ่ายที่สมาชิกคนนี้จะต้องจ่ายให้กับเครือข่ายฯใน 1 เดือนดังนี้
1.จ่ายค่าเฉลี่ยศพ ประมาณ 21 บาท (ตอนนี้เครือข่ายฯมีสมาชิกประมาณ 6,500 คน มีคนตายที่เครือข่ายฯต้องรับผิดชอบในการจ่ายสวัสดิการประมาณเดือนละ 140,000 บาท ตัวเลขนี้เป็นค่าประมาณเท่านั้นนะคะ บางเดือนก็น้อยกว่านี้ บางเดือนก็มากกว่านี้)
2.กองทุนเพื่อการศึกษา 5% และ กองทุนเพื่อการชราภาพ 5% รวมเป็น 10% เป็นเงิน 3 บาท (คิดจาก 100% เท่ากับ 30 บาท)
3.กองทุนสำรอง 20% เป็นเงิน 6 บาท (คิดจาก 100% เท่ากับ 30 บาท)
รวมแล้วเก็บเงินจากสมาชิก 1 คน ได้เงิน 30 บาท ต้องจ่ายเข้ามาที่เครือข่ายฯ 30 บาท แสดงว่าเงินไม่เหลือเลย
แต่อย่าลืมว่านี่เป็นเพียงเงินที่ต้องจ่ายมาที่เครือข่ายฯเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว เงิน 30 บาทที่เก็บได้จากสมาชิก 1 คน ต้องนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในระดับกลุ่มด้วย คือ
1.ค่าจัดสวัสดิการเกิด เจ็บ ตาย (กรณีการตายที่กลุ่มต้องจ่าย คือ มาสมัครเป็นสมาชิกครบ 180 วัน แต่ไม่ถึง 225 วัน กลุ่มต้องจ่าย 3,000 บาท) เท่าที่สอบถามจากกลุ่มขนาดกลาง และขนาดใหญ่ (บางกลุ่ม) เฉลลี่ยแล้วต้องกลุ่มต้องกันเงินของสมาชิก 1 คน ออกมาคนละอย่างตำ 2 บาท
2.กองทุนธุรกิจชุมชน 30% เป็นเงิน 9 บาท/คน (คิดจาก 100% เท่ากับ 30 บาท)
ดังนั้น เท่ากับว่ารายจ่ายในระดับกลุ่มเท่ากับ 11 บาท (เป็นอย่างตำ) รวมกับรายจ่ายในระดับเครือข่ายฯ 30 บาท รวมเป็นรายจ่ายทั้งสิ้นประมาณ 41 บาท/คน/เดือน แต่เก็บได้จริงๆประมาณ 30 บาท/คน/เดือน เท่ากับว่าเงินติดลบประมาณ 11บาท/คน/เดือน (ถ้าบริหารจัดการตามแผนที่ภาคสวรรค์)
จริงอยู่แม้ว่าจากยอดเงินที่ต้องใช้จ่าย 41 บาท/คน/เดือนนั้น ถ้าพิจารณาแล้วเป็นเงินเก็บอยู่ส่วนหนึ่ง คือ เงินที่กลุ่มส่งไปเป็นเงินกองทุนสำรอง 20% ที่เครือข่ายฯ เท่ากับ 6 บาท/คน/เดือน และเงินกองทุนธุรกิจชุมชนที่อยู่ที่กลุ่ม 9 บาท/คน/เดือน รวมแล้วเท่ากับ 15 บาท หากไม่คิดถึง 2 กองทุนนี้ก็เท่ากับว่าสมาชิก 1 คน มีค่าใช้จ่ายเท่ากับ 26 บาท แต่เก็บเงินมาได้ 30 บาท ดังนั้น เงินจะเหลือเท่ากับ 4 บาท/คน/เดือน ซึ่งดูเหมือนว่าถ้าเป็นอย่างนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ต้องอย่าลืมนะคะว่านี่เป็นการคิดแบบขั้นตำเท่านั้น ถ้าคิดละเอียดจริงๆ เงินอาจไม่พอก็ได้ (หรืออาจพอก็ได้ค่ะ ตรงนี้ยังไม่ได้คิดอย่างละเอียด และขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายอย่าง เช่น ถ้ามีเงินเหลือจริงๆ 4 บาท/คน/เดือน แล้วเอาเป็นกองทุนสำรองส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเอาไปทำธุรกิจเหมือนแผนที่ภาคสวรรค์ ดอกผลที่ได้จากการทำธุรกิจส่วนหนึ่งก็เอามาเสริมสภาพคล่องให้กับกองทุนสวัสดิการก็ได้ค่ะ แต่ก็อีกนั่นแหละค่ะ ขนาดตอนนี้สมทบ 9 บาท/คน/เดือน เข้ากองทุนธุรกิจชุมชนแล้ว หลายกลุ่มยังบอกว่ามีเงินอยู่น้อย ลงทุนไม่พอ ถ้าเหลือแค่ 1-4 บาทจะเอาไปทำอะไรได้คะ)
ผู้วิจัยก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะว่าที่คิดอย่างนี้ถูกหลักการหรือเปล่า เพราะ ไม่มีความรู้จริงๆ ถ้าใครได้เข้ามาอ่านพอจะมีความรู้เรื่องนี้บ้างก็แนะนำกันมาได้นะคะ ถ้าอ่านแล้วไม่เข้าใจก็เขียนหรือโทรมาถามก็ได้ค่ะ จะค่อยๆอธิบายให้ฟัง (ผู้วิจัยรู้สึกว่าตัวเองพูดได้ดีกว่าเขียนค่ะ) มาเข้าเรื่องต่อดีกว่าค่ะ ผู้วิจัยก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าแต่ละกลุ่มเคยคิดตัวเลขแบบนี้ออกมาหรือเปล่า อยากจะเสนอเหมือนกัน แต่........ สำหรับผู้วิจัยแล้วคิดว่าเรื่องนี้มีทางออกค่ะ เช่น
1.ขยายจำนวนสมาชิกเพิ่ม ไม่รู้ว่าจะเป็นทางออกที่จะแก้ไขเรื่องเงินไม่พอได้หรือเปล่า เพราะ ถ้าคิดอีกแง่หนึ่ง เมื่อมีสมาชิกมากขึ้น โอกาสที่คนจะตายมากขึ้นก็มีตามไปด้วย
2.ปรับรูปแบบการบริหารจัดการ เช่น จากออมวันละ 1 บาท ก็เป็นออมวันละ 1.50 บาท หรือ 2 บาท แล้วให้สวัสดิการเพิ่มขึ้นอีกหน่อย แต่ต้องคำนวนให้ดี อย่าเพิ่มมากขึ้นจนเงินไม่พออีก (ความคิดนี้คงต้องล้มไปค่ะ เพราะ คงจะมีผู้ที่เห็นว่าจะเสียเอกลักษณ์เรื่องวันละ 1 บาทไป) หรือ อาจออมพิเศษเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น ออมเพื่อการตาย (ให้สวัสดิการสำหรับคนออมประเภทนี้ให้มากขึ้น) หรือ อาจขอเก็บเงินจากสมาชิกเพิ่มขึ้นมาอีก 1 กองทุน เพื่อเอามาเสริมสภาพคล่องให้กับกองทุนสวัสดิการ อาจเก็บเป็นเดือน หรือเป็นรายปีก็ได้ เป็นต้น
ตอนนี้คิดออกแค่นี้ค่ะ ถ้าใครมีความเห็นเพิ่มเติมก็เสนอแนะมาได้นะคะ อยากฟังความเห็นของอาจารย์หญิง อาจารย์บัว และอาจารย์โรจน์จัง (เพราะ เคยได้ยินว่าอาจารย์เรียนทางด้านการเงินมา) ถ้าผู้วิจัยคิดผิดก็บอกมาได้เลยนะคะ และช่วยบอกวิธีการคิดที่ถูกต้องมาให้ด้วยก็จะดีมากๆค่ะ
ไม่มีความเห็น