พุทธศาสตร์สาธารณสุข
ในแวดวงคนทำงานด้านการแพทย์หรือทางการสาธารณสุขแล้ว ย่อมไม่มีใครไม่เคยได้ยินคำว่า “องค์รวม.” คำ ๆ นี้ผู้เขียนจำได้ว่าเคยได้ยินครั้งแรกสมัยเรียนหนังสือเมื่อประมาณปี 2536 ซึ่งเป็นวิชาสังคมศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งพวกเราเหล่านักศึกษามักจะเรียกวิชานี้ว่า “วิชาหมอผี” เพราะอาจารย์ที่มาบรรยายแต่ละท่านจะนำองค์ความรู้ด้านสังคมศาสตร์ที่เกี่ยวเนื่องกับการดูแลสุขภาพของชาวบ้าน ซึ่งแน่นอน ย่อมไม่พ้น เรื่อง หมอมด หมอผี หมอแหก หมอเป่า และอีกสารพัดหมอ มาบรรยายให้พวกเราฟัง แต่สิ่งที่น่าจะเป็นข้อสรุปของวิชาสังคมศาสตร์การแพทย์ตามความรู้สึกของผู้เขียนในสมัยนั้น ก็คือว่า สังคมวิทยาการแพทย์ได้เพิ่มมิติของการดูแลสภาวะด้านจิตวิญญาณ (Spiritual) เข้ามา ซึ่งต่างจากมุมมองด้านการแพทย์และสาธารณสุขเดิม ๆ หรือที่เราเรียกว่าการแพทย์ตะวันตกนั้น มักจะดูและมิติทางกายเป็นหลัก ( แม้จะมีเรื่องของจิตใจอยู่ด้วย แต่มักจะเป็นเรื่องโรคจิตประสาท หรือจิตเวชมากกว่า) การดูแลสุขภาพทุกมิติหรือที่เรียกว่า การดูและสุขภาพแบบองค์รวม จึงเป็นแนวคิดและวิธีการที่มองมนุษย์เป็นคนเต็มคน ที่ประกอบไปด้วยกายและจิตใจ ซึ่งการมองกายคนเต็มคนนั้น ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ หลักการมองคนแบบเต็มคนนั้น พระพุทธองค์ ท่านได้จำแนกแยกแยะคนออกเป็นองค์ประกอบย่อยถึง 5 ส่วน หรือ 5 ขันธ์ คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ ( ท่านที่สนใจลองหาความหมายในหนังสือธรรมทั่วไป ) โดยในส่วนที่เป็นด้านกายหรือรูปธรรมนั้น ท่านจัดเป็น รูปขันธ์ทั้งหมด ส่วนอีก 4 ขันธ์ที่เหลือ ท่านจัดไว้เป็นส่วนด้านจิตใจหรือนามธรรม นี่ย่อมแสดงให้เห็นว่าศาสตร์การดูแลคนครบทั้งคนนั้น พุทธองค์ท่านได้ทรงสั่งสอนมาก่อนการแพทย์ตะวันตก กว่า 2600 ปีมาแล้ว และพิสูจน์ให้พวกเราได้เห็นว่าสัจธรรมที่พระองค์ค้นพบและนำมาเปิดเผยนั้น สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ไม่จำกัดเวลา หากเรามองดูเป้าหมายอันสูงสุดของพุทธศาสนาแล้ว คือการถึงที่สุดแห่งทุกข์ หรือ นิพพาน อันถือว่าเป็นสภาวะความสมบูรณ์แห่งจิต ที่หลุดจากเครื่องร้อยรัดทั้งหลายนั่นคือกิเลสนั่นเอง บุคคลที่ถึงสภาวะสมบูรณ์ของจิตนั้นเรียกว่าพระอรหันต์ พระพุทธองค์ท่านได้ทรงยังได้ทรงสอนวิธีปฏิบัติให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ก็คือ มรรค อันมีองค์ 8 พระพุทธองค์ท่านได้มองความทุกข์ของคนอยู่ที่สภาวะจิตเป็นหลัก จนถึงกับมีพุทธพจน์ว่า คนเรานั้นไม่ป่วยทางกายเลยนับ 10 ปี ก็มี 20 ปีก็มี ร้อยปีก็มี แต่คนไม่ป่วยทางใจเลยนั้นไม่มี ยกเว้นเพียงพระอรหันต์เท่านั้น
ที่ผู้เขียนได้กล่าวชักแม่น้ำทั้ง 5 ขึ้นมา ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า หากคนทำงานแวดวงการแพทย์และสาธารณสุข ที่พยายามโปรโมต การดูและสุขภาพแบบองค์รวม ยังไม่มีความเข้าใจเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนาเราก็จะพยายามลากจูงแนวความคิดที่เป็นองค์รวมนี้ไปตามพวกตะวันตกเหมือนในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งของเขาเรียกว่า holistic care ในขณะที่กระแสของทางตะวันตกเองนั้น กำลังหันมาเร่งศึกษาองค์ความรู้การดูและคนครบทั้งคนจากตะวันออก โดยเฉพาะปรัชญาของเราชาวพุทธ เองด้วยซ้ำไป
วงการแพทย์และสาธารณสุข เราตามก้นฝรั่งมานาน ฝรั่งเขามีการประยุกต์ความรู้ด้านอื่น ๆ เข้ามากับการแพทย์และสาธารณสุขและเรียกศาสตร์เหล่านี้ ซึ่งก็มีการนำมาสอนในบ้านเรา เช่น สังคมศาสตร์การแพทย์ วิทยาศาสตร์การแพทย์ จิตวิทยาการแพทย์ นิติเวชศาสตร์ เศรษฐศาตร์สาธารณสุข บริหารสาธารณสุข เป็นต้น แต่ที่แน่ ๆ การแพทย์ตะวันตกไม่มี วิชา พุทธศาสตร์สาธารณสุข แน่นอน ดังนั้นจึงอยากเชิญชวนนักการแพทย์และสาธารณสุข ได้หันมาศึกษาเข้าใจพุทธศาสนาของเราอย่างถ่องแท้ เข้าใจถึงอะไรคือทุกข์ อะไรคือทีมาของทุกข์ อะไรคือ ที่สุดแห่งทุกข์ และทำอย่างไรให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ให้เห็นชีวิตทั้งชีวิต และนำมาประพฤติปฏิบัติ แล้วเราจะได้ดูแลคนครบทั้งคนได้อย่างสมบูรณ์แบบ ศาสตร์แห่งการดูและสุขภาพแบบคนเต็มคนจึงน่าจะเรียกว่าเป็น พุทธศาสตร์สาธารณสุข และหากเราได้ศึกษาเข้าใจให้ถ่องแท้แล้ว คำสอนของพระพุทธองค์สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการดูแลคนครบคน ได้ทุกเรื่อง เช่นหลักของพรมวิหาร ที่สอนให้เรา มีความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นต้น โดยไม่จำเป็นต้องสนใจทฤษฏี ของฝรั่งอย่าง Service Mind หรือ Best Practice ด้วยซ้ำไป
อ่านข้อเขียนของคุณแล้วบอกถึงจิตวิญญาณของเด็ก สคม. เด๊ะเลย ดิฉันก็เป็นเด็ก สคม. เหมือนกัน อยู่วงการสา'สุขเหมือนกัน น่าจะรุ่นไล่เลี่ยกันด้วยนะ แต่นึกไม่ออก ไม่เป็นไรถือว่าได้เจอกันแล้ว
ตั้งแต่จบมาก็หาทางอยู่ตลอดเวลานะคะที่จะผนวกสิ่งที่คุณว่าเข้าไปกับงาน ยิ่งทำงานด้านจิตใจด้วย โจทย์ยากมากเวลาจะแปลงให้เป็นรูปธรรมสำหรับคนที่ยืนบนหลักในวิทยาศาสตร์จ๋า แต่จิตใต้สำนึกเป็นแบบเอเชียไง
แล้วสิ่งที่ทำได้ ณ ปัจจุบันคือ นำเสนอแทรกเข้าไปในข้อเขียนต่างๆ แบบบูรณาการ ซึ่งก็แล้วแต่เรื่องว่าจะเป็นแบบไหน แล้วก็มักเจอทางตันเวลาที่ต้องเขียนแหล่งอ้างอิง จนน้องๆ ที่ทำงานด้วยกันต้องบอกว่าสงสัยต้องอาศัยบารมีทางวิชาการที่สะสมมานานแล้วมั๊ง เช่น ตัวเลขห้อยท้ายตำแหน่ง เขาถึงจะเชื่อ ฮ่าฮ่า..
สิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้มาก็คือ เราต้องมีประสบการณ์ตรงเราจึงจะสื่อให้คนอื่นเข้าใจได้ ซึ่งประสบการณ์ที่ว่าต้องไม่ใช่แค่การคิดได้ แต่ต้องรับรู้และรู้สึกได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการเห็นทุกข์ ทำความเข้าใจทุกข์และจัดการกับทุกข์โดยใช้ปัญญา
ขอขอบคุณมากครับ ที่ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณสกุลรัตน์ นับว่าหนทางสายนี้มิได้เปล่าเปลี่ยวเดียวดายจริง ๆ ถือว่าเป็นกัลยาณมิตรร่วมอุดมการณ์เดียวกันนะครับ ผมเห็นด้วยครับกับกรณีที่คุณสกุลรัตน์พยายามที่จะสอดแทรกเนื้อหาต่าง ๆ เข้าไปในงานที่ทำ และก็ยากจริง ๆที่จะชักชวนชี้นำให้หลายคนได้เข้าใจ คุณสกุลรัตน์ย้ำ โดยเฉพาะคนที่ยึดถือแนววิทยาศาตร์จ๋าแต่หัวใจเอเชีย
ผมขอร่วมแสดงความคิดเห็นและให้รายละเอียดเพิ่มเติมกรณีที่คุณสกุลรัตน์ได้ขอแนวคิดไว้เป็นคำตอบเดียวกันครับ
โดยหลักของศาสนาพุทธแล้ว การจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งหลายอันเนื่องจาก อวิชชา นั้น ท่านก็ได้วางหลักไว้โดยชัดเจน ตามวิถีทางแห่งการหลุดพ้น หรือ มรรคาทั้ง 8 นั่นเอง โดยลำดับแรกอริยมรรค คือ สัมมาทิฏฐิ หรือ ความเห็นชอบ ซึ่งเป็นองค์ประกอบด้านปัญญา อะไรคือความเห็นชอบ หากเรามองพวกฝรั่งเขาจะสอนเรื่อง Paradigm Shift มีคนไทยเขาแปลว่าการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ ต้องเปลี่ยนความคิด แค่ไม่ได้บอกต้องเปลี่ยนอย่างไร ในขณะที่พุทธศาสนาสอนว่าต้องเปลี่ยนจากมิจฉาทิฏฐิ เป็นสัมมาทิฏฐิ จากความเห็นผิด เป็นความเห็นชอบ ซึ่งมีองค์ประกอบที่เป็นเหตุปัจจัยของการเปลี่ยนแปลง 2 องค์ประกอบ คือ ปรโตโฆสะ และ โยนิโสมนสิการ ( ลองหารายละเอียด จากหนังสือพุทธธรรม ของท่าน ป.อ. ปยุตโต เพิ่มเติมครับ )
ปรโตโฆสะ หมายถึงการได้สดับฟัง จากกัลยาณมิตร อาจเป็นการถ่ายทอด ชี้แนะ ชักนำ ชี้ให้เห็นจนเกิดความประจักษ์แจ้ง หรือการเรียนรู้จากผู้อื่น ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยภายนอก ในขณะที่ โยนิโสมนสิการ หมายถึง การคิดพิจารณาโดยแยบคาย ( ขบให้แตก ) อันถือเป็นปัจจัยภายใน ทั้งสององค์ประกอบย่อมสนับสนุนซึ่งกันและกัน คนธรรมดาสามัญที่ปัญญายังไม่แก่กล้า ย่อมอาศัยการชี้แนะจากผู้อื่น จนพัฒนากระบวนการคิดด้วยตนเองจนก้าวหน้าไปในที่สุด
หากเราทำหน้าที่เพื่อพัฒนาคนอื่น เราก็ทำหน้าที่อย่างกัลยาณมิตร ที่คอยชักชวน ชี้แนะ ให้รายละเอียดข้อมูล จนเขาสามารถนำไปขบคิดพิจารณา
เห็นแจ้งด้วยตนเอง และก็เป็นคำตอบ ( ที่ไม่สำเร็จรูป ) ว่าสำหรับคนขี้เกียจนั้น หากเขามีสัมมาทิฏฐิ แล้ว สัมมาวายามะ หรือ ความเพียร ย่อมเกิดขึ้นได้แน่นอน
ยินดีที่ได้รู้จักครับ
บันทึกน่าอ่านครับ
ตามมาอ่านความคิด ...และร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในโอกาสต่อๆไปครับ
ให้กำลังใจในการเขียนบันทึกดีๆครับ