วันนี้จะมาขอเขียนเล่าเรื่องฟลูโอไรด์ให้ฟัง...
เนื่องจากวันก่อนได้ดูโฆษณาสินค้า
พอดีได้พบโฆษณาของยาสีฟันยี่ห้อหนึ่งที่พูดว่า "ยาสีฟันเดนทิส.........ยาสีฟันที่ทันตแพทย์ส่วนใหญ่ไม่แนะนำ แต่อยากแนะนำให้คนข้างๆทันตแพทย์ใช้...("_^).....เป็นยาสีฟันใช้แล้วตื่นขึ้นมาจะกลิ่นปากสดชื่น ...อะไรประมาณนี้
พอมานึกทบทวนว่าทำไมถึงโฆษณาแบบนั้น....ทำไมเขาถึงโฆษณาว่าทันตแพทย์ไม่แนะนำนะ...ยาสีฟันนี้มันมีอะไรพิเศษเหรอ...ทำไมทันตแพทย์ถึงต้องไม่แนะนำ ...ก็เลยไปค้นๆดูถึงรู้อะไรบางอย่าง ก็ถึงบางอ้อ....ก็อยากจะให้ข้อมูลข้อเท็จจริงให้หลายๆคนทราบว่ายาสีฟันยี่ห้อดังกล่าวเป็นยาสีฟันที่ไม่มีส่วนผสมของฟลูโอไรด์ จึงเป็นเหตุให้spot โฆษณาจึงมีคำพูดดังกล่าว ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าผลของยาสีฟันตัวนี้จะทำให้กลิ่นปากสดชื่นตอนเช้าจริงหรือไม่ เพราะเคยใช้แต่ยาสีฟันยี่ห้ออื่น("ใช้"เพราะเขามาแจกฟรี.....น่ะครับ(^_^)) ก็เลยไม่รู้ว่าตกลงมันสดชื่นจริงไหม ใครที่เคยใช้ก็ส่งข่าวมาบอกกันบ้างก็ดีนะครับ+++
ย้อนกลับมาเรื่องแบบมีสาระกันบ้างดีกว่า เนื่องจากผมเองก็ไม่ได้มีหุ้นส่วน หรือมีผลประโยชน์เกี่ยวกับธุรกิจยาสีฟัน ดังนั้นก็จะไม่ขอพาดพิงไปถึงธุรกิจ แต่อยากจะให้ข้อมูลแก่สาธารณะชนในสิ่งที่ควรรู้เพื่อการตัดสินใจดีกว่า....เรามาลองพูดคุยในเรื่องฟลูโอไรด์กันดีกว่าวันนี้...
ประเด็นก็คือ "ฟลูโอไรด์มีประโยชน์ไหม?"
ก่อนอื่นเราต้องมาทำความรู้จักกับฟลูโอไรด์กันก่อนดีกว่า...(^_^)
ฟลูโอไรด์ (Fluoride) เป็นธาตุในลำดับที่ 13 ในตารางธาตุ อยู่ในตระกูลก็าซเฉื่อย (Halogen group)ที่มีความไวมากที่สุดในธาตุกลุ่มนี้( ถือเป็น Most electronegative element) ซึ่งพบได้ในธรรมชาติทั้งในสิ่งมีชิวิตและไม่มีชีวิต โดยคุณสมบัติโดยทั่วๆไปของฟลูโอไรด์ ที่เรารู้ๆกันก็คือ มันจะช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์หลายๆตัว และช่วยป้องกันฟันผุได้ ซึ่งเกือบทุกคนทราบในข้อนี้ดี
ฟลูโอไรด์ ถือเป็นนวัตกรรมของวงการทันตกรรมในการต่อสู้กับโรคฟันผุอย่างแท้จริง เพราะตั้งแต่ที่ทันตแพทย์รู้จักกับธาตุตัวนี้ เรานำฟลูโอไรด์มาใช้ทั้งทางระบบและเฉพาะที่ ซึ่งพบว่าส่งผลให้โรคฟันผุลดลงอย่างมากใน 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ท่านทราบกันหรือไม่ว่า มาตรการการใช้ฟลูโอไรด์ เป็นมาตรการทางสาธารณสุขที่ประสบผลสำเร็จสูงที่สุดติด 1 ใน 10 ของมาตรการทั้งหมดทั่วโลก (CDC)
ผลของฟลูโอไรด์ต่อการป้องกันฟันผุ
ฟลูโอไรด์ป้องกันฟันผุได้โดยปัจจุบัน เราเชื่อว่า ฟลูโอไรด์จะทำหน้าทีเป็น caries-reducing effect คือ เชื่อในผลของการที่ฟลูโอไรด์ไปมีผลต่อ Plaque bacteria และผลในเรื่อง การ demineralization และ Remineralization
กล่าวโดยสรุปแล้วกลไกในการป้องกันโรคฟันผุของฟลูโอไรด์จะประกอบด้วย 3 ส่วน คือ
1. ฟลูโอไรด์ไปมีผลต่อ metabolism ของแบททีเรียที่ทำให้เกิดฟันผุ(แต่ต้องใช้ความเข้มข้นที่สูงมาก ซึ่งในทางปฏิบัติ เราไม่ใช้ปริมาณมากขนาดนั้น)
2. ฟลูโอไรด์จะมีผลในการลดกระบวนการDemineralized
3. ฟลูโอไรด์จะมีผลในการกระตุ้นกระบวนการRemineralized
ด้วยเหตุผลดังกล่าวผมจึงเชื่อว่ายาสีฟันควรผสมฟลูโอไรด์ เพราะการแปรงฟันทุกวันด้วยยาสีฟันผสมฟลูโอไรด์ ถือเป็นการได้รับฟลูโอไรด์ปริมาณน้อยๆและสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นการป้องกันฟันผุที่ดีที่สุด อีกประเด็นที่น่าสนใจ คือ ในการศึกษาทางคลินิก พบว่าการได้รับฟลูโอไรด์เป็นประจำอย่างต่อเนื่องทำให้ฟันที่ผุในระยะWhite spot lesion สามารถสะสมแร่ธาตุคืนกลับเป็นฟันปกติที่ไม่ผุ(sound tooth) ได้
ผมก็เลยอยากจะแนะนำว่า ถ้าเป็นไปได้ควรแปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูโอไรด์ครับ....................จะยี่ห้ออะไรก็ตามแต่ใจชอบครับ
ขอให้มีความสุขในการแปรงฟันนะครับ (^_^)
ขอขอบพระคุณอาจารย์ณัฐวุธ...
เยี่ยมครับ
ขอบคุณค่ะคุณหมอณัฐวุธ
ทุกวันนี้มีโฆษณายาสีฟันที่อ้างว่าทันตแพทย์ส่วนใหญ่แนะนำให้ใช้
มากยี่ห้อจนเลือกไม่ถูกว่าควรใช้ยี่ห้อไหนดี
ตอนนี้รู้แล้วควรจะใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ แล้วสูตรไวท์เทนนิ่งหละจะ
ทำลายเคลือบฟันมั้ยค่ะ รอคำตอบนะคะ ขอยคุณค่ะ
ยาสีฟันที่มีสูตรไวท์เทนนิ่ง จะมีการผสมสารฟอกสีฟันลงไป จำพวก เปอร์ออกไซด์ต่างๆ ซึ่งไม่ได้ทำลายผิวเคลือบฟันครับ....สบายใจได้
ลักษณะการทำงาน มันจะแตกตัวเป็นไอออน แล้วไปกระเทาะสารสีต่างๆที่อยู่ในท่อเนื้อฟัน (Dentinal tubule) ให้หลุดออก ทำให้ฟันดูขาวขึ้นครับ
แต่ปริมาณสารดังกล่าวที่อนุญาตให้ใส่ในยาสีฟันทั่วๆไปนั้น มีความเข้มข้นของสารฟอกสีฟันไม่สูงมากนัก ดังนั้น อาจไม่สามารถเห็นผลในทันทีทันใด แต่ใช้ไปนานๆ(อาจจะนาน...มากกกกกก)...อาจจะค่อยๆขาวขึ้น(ก็ได้)
แต่ถ้าวัตถุประสงค์ต้องการให้ฟันดูขาวสว่างขึ้น อาจจะต้องไปรับการฟอกสีฟันด้วยน้ำยาฟอกสีฟัน ซึ่งมีหลายแบบ หลายเทคนิก ซึ่งจะตรงประเด็นมากกว่า
ในการโฆษณาทุกวันนี้ นิยมการให้ข้อมูลเพียงด้านเดียวต่อผู้บริโภค ดังเช่น ถ้าบริษัทยาสีฟันเติมอะไรลงไป....ก็จะบรรยายสรรพคุณซะมากมาย
ซึ่งเป็นความจริงที่สารที่ใส่เข้าไปทำให้เกิดผลอย่างที่กล่าวอ้าง แต่ปริมาณและความเข้มข้นของสารที่จะใส่เข้าไป ก็มีผลเช่นกัน ถ้าน้อยเกินไป สรรพคุณที่บริษัทต่างๆพยายามกล่าวอ้าง ก็อาจไม่เป็นจริงก็ได้
เพราะฉะนั้น ต้องใช้วิจารณญานในการดูโฆษณานะครับ (^_^)
ขอบคุณมากๆค่ะคุณหมอณัฐวุธ (๐^_^๐)
ได้ความรู้มากค่ะ ขอบคุณนะคะ