เนื่องมาจากมีคนไกลชิด (^-^) ได้เล่าให้ฟังถึงเรื่องการจัดทำบัญชีค่าใช้จ่ายเมื่อมาอยู่ต่างประเทศ ก็เกิดเอะใจขึ้นมาว่าทำไมคนเรียนเศรษฐศาสตร์อย่างเราถึงได้ชะล่าใจในเรื่องของการใช้จ่ายเงินทองนัก ทั้งๆที่เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ควรรอบคอบเป็นอย่างมากตามหลักของการใช้ทรัพยากรทุกอย่างให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด แต่ถึงกระนั้นก็ตามก็ยังไม่ทำอยู่ดี (อันนี้เป็นนิสัยที่ไม่ดีเท่าไหร่...ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างค่ะ)
ถึงแม้รัฐบาลไทยส่งเสริมเป็นอย่างมากให้ประชาชนออม ไม่ว่าจะมีโฆษณา ออม 1 ส่วนใช้ 3 ส่วน ถ้าจำกันได้นะค่ะ รวมถึงการทำบัญชีครัวเรือนเพื่อที่จะได้รู้เท่าทันการใช้จ่ายของเราในประจำวัน แต่อัตราการออมก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากเท่าที่ควร เพราะอัตราการออมของคนไทยในปี 2005 เท่ากับร้อยละ 30.5 นับได้ว่าสูงเกินกว่าเป้าหมายที่ร้อยละ 25 อยู่แล้วค่ะ หากอัตราการออมของคนไทยยังคงอยู่ที่ระดับนี้หรือเพิ่มขึ้นมากกว่านี้เล็กน้อยก็จะส่งผลที่ดีต่อระดับรายได้ของคนไทยในระยะยาวค่ะ
แต่ที่น่าเป็นห่วงคือหลายประเทศกำลังตกอยู่ในภาวะการลดลงของอัตราการออมภาคครัวเรือนอย่างมากและต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา แคนาดา หรือญี่ปุ่น กำลังประสบปัญหาอัตราการออมลดลงอย่างมาก พบว่า ในปี 2005 ทั้งสหรัฐอเมริกาและแคนาดา มีอัตราการออมติดลบ และญี่ปุ่นก็มีอัตราการออมเพียงแค่ร้อยละ 7 เท่านั้นค่ะ (พยายามจะใส่กราฟแสดงให้เห็น แต่ทำไม่เป็นค่ะ - - )
มีนักเศรษฐศาสตร์ได้พยายามวิเคราะห์สาเหตุว่าอาจจะเกิดจากวิธีการวัดค่าผิดพลาดหรือเปล่า เพราะในการวัดค่าอัตราการออม ไม่ได้รวมค่าใช้จ่ายในสินค้าคงทน, ไม่ได้หักภาษีของรัฐ เป็นต้น แต่การคำนวณใหม่ก็ไม่ได้ช่วยให้อัตราการออมเพิ่มขึ้นมากเท่าไรนัก
ผลกระทบที่สำคัญของภาวะอัตราการออมที่ลดต่ำลงอย่างมากคือ ประชากรจะมีเงินออมไม่เพียงพอที่จะใช้ในอนาคตภายหลังจากการเกษียณอายุนั่นเองค่ะ ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและค่ารักษาพยาบาล นอกจากนี้ยังส่งผลถึงการเจริญเติบโตของระบบเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาวด้วยส่วนนึงค่ะ..................
จากพระราชดำรัสเนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2517 หรือเมื่อ 31 ปีที่แล้ว ที่มีความตอนหนึ่งว่า
“คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา จะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งที่ทันสมัย แต่เราอยู่พอมีพอกิน และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทยพออยู่พอกิน มีความสงบ และทำงาน ตั้งจิตอธิษฐาน ตั้งปณิธานในทางนี้ ที่จะให้เมืองไทยอยู่แบบพออยู่พอกิน ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่างยอด แต่ว่ามีความพออยู่พอกิน มีความสงบ เปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ถ้าเรารักษาความพออยู่พอกินนี้ได้ เราก็จะยอดยิ่งยวดได้ …”
ที่ยกพระราชดำรัสนี้ขึ้นมาเพราะสอดคล้องกับหัวเรื่องนี้ส่วนนึง แล้วแต่จะวิเคราะห์และพิจารณากันค่ะ เพราะประเทศไทยของเรา ก็มีวิถีชีวิตแบบของเรา ......................
เห็นด้วยครับอาจารย์ เราคนไทย มีวิถีชีวิตอย่างไทย พระองค์ท่านสอนให้เราประหยัด รู้จักตัวเอง ไม่ประมาท การรักษาวิถีชีวิตและวัฒนธรรมอย่างไทย จะทำให้เราเกิดความเชื่อมั่น ผมเชื่ออย่างนั้นครับ
ไม่ทราบว่าอาจารย์ยังอยู่ที่ต่างประเทศหรือเปล่าครับ อากาศเป็นอย่างไรบ้างครับ ขอให้มีความสุขกับการศึกษานะครับ อย่าลืมรักษาสุขภาพด้วยนะครับ เพราะอาจารย์ต้องกลับมาช่วยบ้านเมืองของเรา
ขอบคุณครับ
อัครชัยฯ
เอ่อ..อยากจะถามว่า..เวบนี้เป็นเวบเกี่ยวกับอะไรอ่ะคะ แต่ละคนดูจะวิชาการมาก ๆ เลยค่ะ
อ่านแล้วรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเก็บเงินไม่อยู่เลย อยากจะออมให้ได้อย่างนโยบาย แต่ทว่า..มีแต่เรื่องที่จำต้องจ่ายทั้งน้านนน แต่ยังไงแล้วก็ต้องทำให้ได้..ใช่มั้ยคะ (^-^)
ไม่รู้ว่าจะแนะนำตัวยังไงดี ส่งเมลล์ไปแทนได้มั้ยคะ ถือโอกาสนี้ขอเมลล์เลยละกัน (หรือจะคุยทางเอ็มก็ได้นะคะ)
ไว้จะเข้ามาอ่านใหม่ ... เป็นกำลังใจให้ค่ะ (^-^)
เห็นด้วยอย่างยิ่งว่าการออม เป็นสิ่งสำคัญากสำหรับการใช้ชีวิต และ การออมเพื่อใช้ในวัยเกษียณก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกคนต้องทำ
แต่เท่าที่เห็น ใน พท. ตจว. เกษตรกร หรือ พ่อค้าแม่ขายที่เราได้เห็นกันอยู่ทุกวัน, ศักยภาพ การหารายได้ แทบ ไม่พอกับรายจ่าย หรือ จำเป็นต้องกู้ยืมเงินในอนาคตมาใช้ ผมก็เห็นใจ บางราย ไม่มีรายได้แม้กระทั่งจ่ายค่ารักษาพยาบาล หรือส่งลูกเรียน
เรามีมาตรการและการรนณรงค์ เพื่อให้ทุกคนมีการออม ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ เราก็ควรมีนโยบายอื่นนที่ช่วยลักดันคุณภาพชีวิตคนในชาติให้ดีขึ้น
อยากให้อาจารย์ ช่วย หาข้อมูลเกี่ยวกับรัฐสวัสดิการ มาเผยแพร่บ้างครับ เพื่อเป็นแบบอย่างให้เราเข้าใจได้ว่า เขาทำอย่างไร วางนโยบายทางเศฐษกิจอย่างไร จึงช่วยให้คนในชาติ มีคุณภาพชีวิตได้เท่าเทียมกัน มีสิทธิ การเรียน การรักษาพยาบาล ที่ดี
เป็นกำลังใจให้อาจารย์ ให้พากเพียรพยายาม นำความรู้มาพัฒนาเมืองไทยครับ
อาจารย์ได้นำความรู้ด้านเศรฐศาตร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมากครับ
ผมก็จะออม เพื่อวันนี้และวันข้างหน้าครับ
ผมว่า ... อาจารย์ขจิต นั่นแหละ ... คิดถึงครับ อิ อิ
ทำฟอร์ม ๆ
:)