ผมอ่านข่าวมติชนรายวันประมาณ2-3วันมาแล้ว
คุณองอาจ คล้ามไพบูลย์จากพรรคปชป.เสนอว่าจะอุดหนุนเบี้ยยังชีพให้คนชราทุกคน
ในฐานะที่ผมร่วมเสียภาษีด้วย ผมไม่เห็นด้วยกับการนำเงินกองกลางจ่ายให้ผู้สูงอายุแบบสงเคราะห์เช่นที่เป็นมา
กลุ่มบ้านดอนไชย เครือข่ายโซนใต้จ.ลำปางสะท้อนปัญหาเบี้ยยังชีพที่ได้ไม่ครบทุกคน สร้างความแตกแยกในชุมชนเพราะกระบวนการคัดกรองไม่มีประสิทธิภาพพอหรือคนในชุมชนก็ด้อยโอกาสพอๆกัน แต่การแก้ไขโดยจ่ายให้ทุกคน ผมเห็นว่าเดินผิดทาง
กลุ่มบ้านดอนไชยคิดช่วยเหลือตัวเองและพึ่งพาช่วยเหลือกันด้วยกระบวนการกลุ่มออมบุญวันละ1บาทเป็นแนวทางที่ควรส่งเสริมสนับสนุนมากกว่า
ในช่วงที่ครูชบเป็นคณะกรรมการนโยบายสังคม พระอาจารย์สุบิน ปณีโตเป็นที่ปรึกษาได้เสนอให้นายกชวน หลีกภัยดำเนินนโยบายที่พรรคไทยรักไทยหยิบไปใช้คือ กองทุนหมู่บ้าน1ล้านบาท เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่สนใจ ดำเนินนโยบายเชิงสงเคราะห์ด้วยกลไกของราชการ
สงเคราห์กับประชานิยมมันต่างกันตรงไหน?
การสงเคราะห์ด้วยเบี้ยยังชีพเป็นการลดทอนพลังของชุมชน
พรรคประชาธิปัตย์ควรสนับสนุนข้อเสนอของขบวนองค์กรการเงินชุมชนตามแนวทาง "ชุมชนจัดสวัสดิการ รัฐเป็นหุ้นส่วนร่วมสมทบ"
ผมคิดว่าการเมืองไม่สนใจรายละเอียดทางวิชาการเท่าไร การเมืองกับการจัดการความรู้มีส่วนคล้ายคลึงกันในแง่ที่ต้องอาศัยจินตนาการเป็นตัวนำ
จินตนาการว่ารัฐจ่ายเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุทุกคนกับจินตนาการว่ากองทุนสวัสดิการภาคประชาชนขับเคลื่อนตัวเองด้วยแรงจูงใจที่รัฐจะเข้ามาเป็นหุ้นส่วนคือภาพฝันของนักการเมือง
งานวิชาการและตัวอย่างรูปธรรมในเรื่องนี้มีพอสมควรแล้ว รายละเอียดค่อยลงลึกให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
แต่จินตภาพของนักการเมืองต่อเรื่องนี้คือตัวชี้วัดคุณภาพนักการเมืองไทย
ไม่มีความเห็น