ดอกไม้ริมทาง


มีเรื่องดีๆมาฝาก

 

ถ้าไม่รักและเป็นห่วงเพื่อน ฉันคงไม่ลงทุนสละเวลาพักผ่อน ขึ้นรถไฟชั้นสามไปต่างจังหวัด เพื่อไปดูคอนเสิร์ตวงดนตรีที่ไม่โปรด

ตอนเด็กๆ ฉันยังจำภาพประสบการณ์เมื่อเข้ากรุงเทพฯ โดยทางรถไฟ “ชั้นสอง-พัดลม-นั่ง” ได้ดี ทั้งลำบาก ปวดหลัง และเมื่อยคอตลอดคืน ถ้าจะเปรียบราคาค่าโดยสารเท่าๆ กัน เดินทางไปกับรถโดยสารธรรมดาแบบไม่มีเก้าอี้ปรับเอนสบายๆ ก็ยังดีกว่า “นั่ง” รถไฟชั้นสามเป็นไหนๆ

มัวแต่คิดถึงความลำบากของการเดินทางครั้งนี้ จนไม่เหลือที่ว่างให้ฝันถึงความสนุกสุดเหวี่ยงที่รออยู่ข้างหน้าเลย ไปเที่ยวครั้งนี้ แนนตั้งใจชวนฉันไปด้วย เพราะเจ้าพลจะไปด้วยนั่นเอง เอาเถอะ ถึงจะไม่ชอบดูคอนเสิร์ตร็อค แต่ไปเป็นแมวหวงก้าง ทำหน้าที่เพื่อนที่ดีก็ไม่เสียเวลาหรอกน่า

เราไปถึงสถานีรถไฟก่อนเวลารถไฟออกตั้งครึ่งชั่วโมง แต่ยังช้ากว่าผู้โดยสารคนอื่นๆ เมื่อขึ้นไปหาที่นั่ง ภาพที่เห็นคือ ทุกที่นั่งมีเจ้าของทั้งที่เป็นบุคคลและสิ่งของ สัมภาระถูกนำมาวางจองที่นั่งจนเต็ม ลูกเล็กเด็กแดงนั้นขึ้นไปนอนเหยียดยาว หลับปุ๋ยบนที่นั่งทั้งแถว ส่วนพ่อแม่ยอมสละความสบายมานั่งพื้นเฝ้าลูกอย่างอดทน ฉันอยากกลับไปเป็นเด็กก็ตอนนี้แหละ! ท่ามกลางความวุ่นวายแออัดนั้น เสียงคนคุยกันดังเอะอะ คลื่นความเคลื่อนไหวและเสียงต่างๆ ช่างน่าเวียนหัว

เราเดินหาที่นั่งมาจนถึงตู้รถไฟคันที่สาม ก็เป็นเวลาที่รถไฟออกจากสถานีแล้ว เวลาขณะนี้สองทุ่มเศษๆ ความหวังที่พวกเราจะหาที่นั่งได้นั้นช่างริบหรี่ พลบอกฉันกับแนนว่า เขาจะแยกไปเดินหาที่นั่งคนเดียว ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง การจะหาพื้นที่กว้างพอให้คนสามคนได้นั่งใกล้กันนั้นเป็นเรื่องยาก พลเป็นผู้ชาย จะไปนั่งมุมไหนก็ได้ ส่วนหญิงสาวควรนั่งอยู่เป็นเพื่อนกัน พลไปแล้ว เราสองคนเดินหาที่นั่งไปเรื่อยๆ ไม่มีแววว่าจะเจอที่ว่าง แต่ก็หยุดไม่ได้เพราะไม่มีที่เกาะยืน จนเมื่อแหวกผู้คนออกมาจากตู้รถคันเกือบสุดท้าย เราก็พบกับความหวังริบหรี่

“เหมียว ตรงนั้นว่างไหม” แนนชี้ไปยังมุมหนึ่ง จะเรียกว่าซอกระหว่างตู้โดยสารก็ได้ ที่ตรงนั้นกว้างยาวประมาณเกือบเมตร อยู่ในมุมมืด มองเข้าไปข้างในเห็นมีอะไรสักอย่างตะคุ่มๆ อยู่บนพื้น ซึ่งน่าจะยกออกมาวางข้างนอกชั่วคราวได้ อดแปลกใจไม่ได้ว่า ทำไมยังไม่มีคนจับจอง ฉันเดินเข้าไปสำรวจใกล้ๆ

“อืม...ว่างจริงๆ นั่นแหละ แนน โชคดีจัง” พอจะก้าวเท้าอีกก้าวตาม จู่ๆ กองวัตถุบนพื้นนั้นก็ขยับได้ พร้อมกันนั้นก็เห็นว่า ในความมืดที่เรามองไม่เห็นแต่แรกมันคือผ้าห่มไหมพรมสีกระดำกระด่าง คลุมร่างใครบางคนเอาไว้ในท่าซบหน้าบนเข่าคู้ เมื่อเขาผู้นั้นเงยหน้าขะมุกขะมอมขึ้นมา จึงเห็นนัยน์ตาสะท้อนแสงไฟวาววับ บ่งบอกว่าเป็นมนุษย์ที่ยังมีชีวิต ฉันชะงัก! ร่างนั้นขยับตัวอีก คราวนี้เขาลดผ้าห่มลง เผยให้เห็นชัดว่าร่างกายผ่ายผอม เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งเหมือนนุ่งผ้าขี้ริ้วสกปรก กลิ่นสาบเหมือนคนไม่เคยเจอน้ำมาเป็นแรมเดือนโชยขึ้นมา คนจรจัดหรือเปล่านะ เมื่อประจันหน้ากันชัดๆ พลันนึกรังเกียจความสกปรกระคนกลัวว่าจะเป็นพวกร่อนเร่ ที่ชอบแอบขึ้นรถไฟรอขโมยของผู้โดยสารตอนเผลอ ฉันถอยหลังกลับเพื่อตั้งหลัก...

“มีคนเหรอ” แนน ถามเบาๆ ชายผู้นั้นผุดลุกขึ้น ผมเผ้า หนวดเครารุงรัง ท่าทางน่ากลัว จะเป็นพวกติดยา พวกเดนคนหรือเปล่าก็ไม่รู้ จะลุกขึ้นมาทำอะไรพวกเราหรือเปล่าเนี่ย ฉันคิดในใจ

“ไม่มีที่นั่งหรอก ไปหาเจ้าพลกันเถอะนะ แนน” ฉันเจตนาพูดดังๆ เดนคน - นามสมมติ - จะได้รู้ว่า เรามีผู้ชายมาด้วย แนนพยักหน้าตามใจฉัน เราผละจากเขาไปไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงเรียกตามหลัง

“เดี๋ยวครับ คุณผู้หญิง” เสียงแหบพร่าดังขึ้น

“คุณสองคนไม่ต้องไปไหนหรอก ข้างในไม่มีที่นั่งแล้ว คุณนั่งตรงนี้ดีกว่า” พูดจบเขาก็ผุดลุกขึ้น เดินผ่านเราไปแบบทิ้งระยะห่างที่สุดเท่าที่จะทำได้ เหมือนเขารู้ว่าฉันรังเกียจและกลัวเขามาก ชายที่ฉันแอบเรียกว่า เดนคน ค่อยๆ พาร่างผอมอิดโรยเดินผ่านเราสองคนไปช้าๆ

“ขอบคุณค่ะ” แนนไม่ลืมที่จะพูดคำนั้น ฉันยังพูดอะไรไม่ออก สายตาฉันได้แต่ติดตามหลังชายคนนั้นไป น้ำเสียงอ่อนโยนและท่าทีที่เขาจากเราไปอย่างเงียบเชียบนั้น พลิกให้ฉันกลายเป็นบุคคลน่ารังเกียจยิ่งกว่าเดนคนได้ในไม่กี่วินาที ทำไมเขาต้องเป็นฝ่ายเสียสละให้คนอย่างฉัน?

“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมาก” ฉันพึมพำ เขาไม่มีทางจะได้ยิน ร่างนั้นค่อยๆหายไปกับทะเลคน ในใจขอให้เขาพ้นจากการโดนจับโยนลงไปจากรถไฟ ไม่ว่าจะเป็นปลายทางใด... ขอให้เขาได้ไปถึงที่ปลายทางอย่างปลอดภัย

เมื่อได้ที่นั่งจากชายนิรนาม เราสองคนเข้าไปนั่งในซอกนั้นได้พอดี ไม่ลืมที่จะโทรศัพท์บอกพลว่าไว้เจอกันที่ปลายทาง แนนนั่งลงเสร็จก็หลับตางีบเอาแรง ส่วนฉันนั้น อาการหงุดหงิด ไม่พอใจรถไฟและผู้คนเมื่อแรกหายเป็นปลิดทิ้ง ความรู้สึกใหม่เข้ามาแทนที่ ทุกอย่างรอบกายไม่ได้วุ่นวายอลหม่าน น่ารำคาญอย่างที่รู้สึกมาตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง ขณะที่ฉันจมจ่อมอยู่กับอารมณ์เน่าๆ คนเดียว จู่ๆ ก็เหมือนได้น้ำสะอาดสาดโครมลงมาชำระสิ่งสกปรกออกไป ตลอดเวลาของการเดินทาง ฉันอยู่กับความสุขนั้นโดยที่จิตใจไม่ทุกข์ไปกับความทรมานทางกาย ที่ต้องนั่งเบียดกับแนนในท่าคู้กายเกือบสองชั่วโมง

จากเหตุการณ์คืนนั้น ฉันได้คิดว่าคนบางคนคงไม่ได้เข้ามาในชีวิตใครๆ อย่างบังเอิญและไร้ความหมาย หลายคนผ่านเข้ามาแวบเดียวแล้วจากไป เพียงเพื่อมาสะกิดใจให้คิดถึงความดีอันน้อยนิด เช่น การเสียสละให้อีกฝ่ายได้สัมผัสความสุขพอประทังใจที่แร้นแค้น เหมือนกับดอกไม้ริมทางแม้จะถูกมองว่าไม่มีค่าเมื่อเทียบกับดอกไม้อื่น แต่ความเบ่งบานสดชื่นเหมือนน้ำใจที่ให้แก่นักเดินทางผู้เหน็ดเหนื่อยอยู่กลางป่านั้น มีค่ามากพอให้คนๆ หนึ่งได้เดินทางต่อด้วยใจที่ไม่ขาดแคลน

คัดลอกมาจาก http://dungtrin.com/mag/?25.fiction

 

คำสำคัญ (Tags): #ดอกไม้ริมทาง
หมายเลขบันทึก: 132069เขียนเมื่อ 27 กันยายน 2007 01:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 20:38 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท