เด็กผู้หญิงตัวน้อยคนหนึ่งนั่งหน้าห้องท่ามกลางเพื่อนๆ แต่ความรู้สึกกับแปลกแยกและแตกต่างจากทุกวัน วันนี้เด็กน้อยคนนี้รู้สึกไม่อยากมาโรงเรียน ไม่อยากพูดคุยกับใคร รู้สึกอึดอัดและเหนื่อยหน่ายที่ต้องนั่งอยู่ในห้องเรียนท่ามกลางเพื่อนนักเรียนที่แสนคุ้นหน้า เด็กหญิงตัวน้อยคนนี้เคยเป็นคนร่าเริง สนุกสนาน ยิ้มแย้มแจ่มใส และอยากมาโรงเรียนทุกวัน ทำไมวันนี้เด็กน้อยคนนี้จึงเป็นเช่นนี้.......
ก่อนหน้านั้นประมาณหนึ่งสัปดาห์ เด็กหญิงตัวน้อยงงและสงสัยอย่างมาก กับการมาของเพื่อนนักเรียนคนใหม่ ไม่ใช่ที่ว่าเด็กนักเรียนที่มาใหม่มีอะไรผิดแปลกหรือแตกต่าง แต่ตรงกันข้ามเพื่อนนักเรียนคนใหม่นี้กลับดูน่ารัก น่าชื่นชม มีเสียงล่ำลือที่เพื่อนนักเรียนแอบไปได้ยินจากคุณครูประจำชั้นคุยกันว่า เพื่อนนักเรียนใหม่คนนี้เรียนเก่งมาก ฉลาด น่ารัก และอื่นๆ อีกมากมายที่บ่งบอกว่าเด็กนักเรียนใหม่คนนี้ "คงเป็นนักเรียนคนโปรดของคุณครูและเพื่อนๆ อย่างแน่นอน" ที่เด็กหญิงตัวน้อยรู้สึกงงและสงสัยกลับเป็นที่เพื่อนรักของหนูน้อยคนนี้ที่นั่งติดกันเวลาเรียนหนังสือทุกคาบ กินข้าวด้วยกัน แย่งมาม่าดิบกินกัน ช่วยกันทำการบ้านที่แสนจะยากและเยอะจากที่คุณครูสั่งให้ทำ และแทบจะเรียกได้ว่าเด็กสองคนนี้ตัวติดกันเป็นปลาท่องโก๋ (คู่น้อยๆ) เลยทีเดียว...
แต่แล้วเพื่อนแสนรักของเด็กหญิงตัวน้อยกลับเปลี่ยนไป......
เพื่อนรักกับเพื่อนใหม่ กับ มาสนิทกัน.......
แล้วเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้หละ.....สนิทกับใคร กินข้าวกับใคร เล่นกับใคร แย่งขนมกินกับใคร......
เด็กหญิงตัวน้อยอยู่ตามลำพัง....
เด็กหญิงตัวน้อยไม่เข้าใจและไม่รู้จะทำอย่างไรกับความรู้สึกที่เหมือนลูกแมวน้อยที่โดนทิ้ง จะคุยกับใคร.... จะเล่าให้ใครฟังดี... แล้ว...... "หนูจะทำอย่างไงดี หนูไม่อยากไปโรงเรียนเลย"............
สวัสดีค่าทุกท่าน วันนี้เริ่มต้นด้วยเรื่องเล่าเล็กๆ ที่คงไม่เล็กสำหรับจิตใจของเด็กหญิงคนหนึ่งนะคะ... หนูน้อยคนนี้คงจะสับสนและไม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองเจอนัก ด้วยความที่ยังเด็กและไม่รู้ว่าจะจัดการกับความรู้สึกนี้อย่างไร.... สิ่งที่อาจตามมากับเด็กน้อยคนนี้อาจเป็นได้หลายทางเลยคะ เมื่อเด็กน้อยคนนี้โตขึ้น.... อาจจะ......
หนึ่ง ลืมคะ..... ไม่สนใจ จำไม่ได้ว่ามีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น โตขึ้นก็มีเพื่อนใหม่ มีเพื่อนเยอะหลากหลายประเภท....
สอง จำได้ลางๆ คะ..... แต่ตลกกับเรื่องราวตอนนั้น ว่าคิดอะไรมาก ปัจจุบันก็ยังเป็นเรื่องเล่าตลกๆ ที่เล่ากันระหว่างเพื่อนนักเรียนสมัยเด็กเวลาที่นัดกินข้าวกัน....
สาม จำได้คะ..... จำฝังใจ จำจนกระทั่งรู้สึกไม่ไว้ใจใคร ยิ่งคนที่รู้สึกว่าต้องสนิทด้วยยิ่งพยายามหนีให้ไกลห่างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้..... เพราะกลัวการไว้ใจคะ......
อื่นๆ .....................
สิ่งที่อยากบอกผู้อ่านทุกท่านไม่มีอะไรมากคะ เพียงแค่อยากบอกว่า...... บางครั้งการกระทำ คำพูด หรืออะไรบางอย่างที่เราทำไว้กับใครบางคน เท่าที่เราพอจะจำได้มันอาจจะไม่ได้สลักสำคัญหรือมีค่าควรจำให้ต้องคิดถึงสำหรับเรามากนัก แต่สำหรับผู้ที่ได้รับหรือได้ยินคำพูด รับรู้ถึงการกระทำ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เราทำไว้กับเค้า เค้าอาจจะคิดมากจนบางครั้งอาจมีผลทำให้เค้าพยายามหลีกหนี หรือมีการก่อร่างสร้างตัวตนบางอย่างที่อาจหลีกหนีสิ่งเหล่านั้น หรือเข้าใจง่ายๆ คือ "เค้าเสียใจอย่างแรงคะ"
บางทีเราอาจจะต้องคำนึงถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เราได้ทำลงไปบ้างนะคะ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องคิดมากและต้องรับผิดชอบต่อความรู้สึกของผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ก่อนจะทำอะไร หรือพูดอะไร ออกมา อาจนึกถึงใจเค้าใจเราบ้างสักนิดก็คงดีไม่น้อย......
สำหรับผู้ที่คิดว่าตัวเองโดนเป็นผู้ถูกกระทำ บางครั้งก็คงต้องหันกลับมาดูบ้างคะว่า แล้วตัวเราเองคาดหวังแต่จะให้ผู้อื่นมารับผิดชอบความรู้สึกของเรา แล้วตัวเราหละ.... ย้อนกลับคิดบ้างไหมว่า เราเองนั่นแหละที่ทำร้ายจิตใจของตัวเราเอง (สะมากกว่า) ........ การปล่อยวาง การไม่ยึดติดกับเรื่องบางเรื่องก็จำเป็นนะคะ.....
สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนบันทึกเขียนเล่าเรื่องราวในครั้งนี้ เป็นเพราะเมื่อ วันเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา (22-23 กัยายน) ผู้เขียนบันทึกได้มีโอกาสเข้าร่วม โครงการอบรมนพลักษณ์(Enneagram) เพื่อเข้าใจตนเองและผู้อื่น ทำให้เข้าใจเรื่องราวต่างๆ ทั้งที่เกี่ยวกับตนเองและผู้อื่นมากยิ่งขึ้นคะ
ก็ต้องขอขอบคุณ อ.ทญ.ธนิดา โพธิ์ดี โต้โผใหญ่ในงานครั้งนี้นะคะ... ที่ทำให้ผู้เขียนบันทึกนี้ได้รับรู้เรื่องราวดีๆ และได้หันกลับมามองและเข้าใจในตัวเองและเรียนรู้ที่จะเข้าใจผู้อื่นเพิ่มขึ้นด้วยคะ...... และต้องขอขอบคุณท่านวิทยากรทั้งสามท่านที่ตอบคำถาม แนะนำ และให้แนวทางและแนวคิดดีๆ หลายอย่างกับผู้เขียนบันทึกนี้นะคะ.........
โชคดีเหลือเกินคะที่ได้โอกาสในการเรียนรู้เรื่องนี้ และเสียดายกับอีกหลายๆ ท่านที่ไม่ได้เข้าร่วมกับโครงการในครั้งนี้คะ......
ขอบคุณสำหรับโอกาสที่ผ่านเข้ามาทุกๆ โอกาส...... และขอบคุณตัวเองที่ไม่ยอมให้โอกาสนั้นหลุดลอยไป.......
เชื่อว่าจนถึงวันนี้ เด็กผู้หญิงคนนั้นคงจะเข้มแข็งขึ้นมากแล้ว เพราะการเรียนรู้และพัฒนาตนเองเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับมนุษย์ทุกคน หากเราสามารถเก็บเกี่ยวเอาประสบการณ์ในอดีตมาเป็นครูเพื่อสอนให้เราเรียนรู้และแก้ไขเรื่องราวต่างๆ ในชีวิต เพื่อที่จะทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
ถึง อ.หนิง คะ วันนี้เด็กผู้หญิงคนนั้นโตขึ้นมาก เข้มแข็งขึ้นมาก แต่ความรู้สึกที่มันติดค้างในใจของเด็กหญิงคนนั้นมันคงไม่จางหายไปได้ง่ายๆ มั้งคะ อ.หนิง และเด็กผู้หญิงคนนั้นก็ฝากขอบคุณสำหรับข้อคิดที่ อ.หนิง ทิ้งไว้ให้เป็นการบ้าน (การบ้านชีวิตในการเรียนรู้) มากๆ คะ เด็กผู้หญิงคนนั้นรู้สึกเต็มตื้นที่ยังมีคนดีๆ ที่คอยอยู่ข้างๆ เสมอคะ ขอบคุณอีกครั้งคะ......
สำหรับ คุณ แก่นจัง ยินดีมากๆ คะที่เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็น และดีใจนะคะที่ชอบประโยคนั้น อันที่จริงประโยคนั้นคอยเป็นตัวกระตุ้นเตือนผู้เขียนบันทึกอยู่บ่อยๆ คะ มันคงไม่มีอะไรที่จะทำลายจิตใจเราได้มากเท่ากับความรู้สึกของเราเองนี่แหละมั้งคะ คิดอย่างนั้นนะคะ......
สำหรับ คุณ สายลมที่หวังดี ดีใจด้วยนะคะที่ได้รู้จุดยืนของตัวเองคะ ยังไงก็สู้ๆๆ นะคะ คนลักษณ์ 5 เอาใจช่วยคนลักษณ์ 9 อยู่คะ ฮิๆๆๆ......
เรียน อาจารย์ Tipruthai Prayoonwong
ขอบคุณนะคะที่แวะไปอ่านที่บล๊อคของดิฉัน
เลยถือโอกาสแวะมาทักทาย และเชิญชวนให้อ่านประสบการณ์การเข้ารับการอบรม "นพลักษณ์ขั้นกลาง" ของผู้เข้ารับการอบรมที่รู้ลักษณ์แล้ว และเข้ารับการอบรมขั้นกลาง เพื่อศึกษาลงลึกในเรื่องราวด้านในของตนเอง ด้วยศาสตร์นพลักษณ์ค่ะ
แวะไปอ่านได้ตามลิงค์ข้างล่างนะคะ