ปลูกต้นไม้ใช้หนี้คืนชีวิตให้แผ่นดินปลดเปลื้องหนี้สินเกษตรกรความคาดหวัง 3 ประการ
ยุทธศาสตร์การพึ่งพาตนเองและความมั่นคงด้านที่อยู่ พลังงาน อาหาร และยา เป็นยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้น
1. การฟื้นฟูความสมดุลให้กับระบบนิเวศน์และพัฒนาฐานทรัพยากรของชาติ2. มุ่งแก้ไขปัญหาโลกร้อน และปัญหาหนี้สินของเกษตรกร
3. วางรากฐานการพัฒนาเศรษฐกิจของชาติตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในระยะยาวมีกิจกรรมรูปธรรม
“การปลูกต้นไม้ใช้หนี้บนที่ดินทำกินของตนเองเป็นกิจกรรมหลักเป็นหนี้ในความหมายสองนัย คือ หนี้ธรรมชาติหรือหนี้แผ่นดิน และหนี้สินอันเกิดจากความผิดพลาดหรือล้มเหลวในการผลิตทางการเกษตร"
บนฐานองค์ความรู้ 2 กลุ่ม
1. แนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่อง การปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง คือ อาหาร พลังงาน การใช้สอย และระบบนิเวศน์
2. แผนยุทธศาสตร์การปลูกต้นไม้ใช้หนี้เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน
จากข้อมูลของการทำแผนชุมชนของตำบลหนองหล่ม และตำบลคือเวียง เกษตรกรมีหนี้สิ้นเฉลี่ย 120,000 บาท ต่อครอบครัว เป็นหนี้ที่ไม่สามารถชำระได้หรือหนี้เสียถึง 15% บางครอบครัวมีหนี้สูงถึง 2 ล้านบาท ทั้ง ๆ ที่สินทรัพย์มีเพียงไม่กี่แสนบาท ทำให้เกษตรกรต้องดำรงชีวิตที่มีแต่ความกังวล หมดกำลังใจในการประกอบอาชีพ สาเหตุส่วนใหญ่เนื่องจากล้มเหลวในอาชีพเกษตรเชิงเดี่ยว และฟุ่มเฟ้อกับวัตถุนิยม
บางคนถึงกับฆ่าตัวตายเพื่อหวังจะเอาเงินณาปนกิจมาใช้หนี้ให้กับครอบครัวบางคนถึงกับต้องหนีออกจากชุมชนเพื่อหางานทำที่จะมาใช้หนี้ของตัวเองบางคนถึงกับต้องขายที่ดินที่เป็นมรดกตกทอด จนถึงต้องหมดเนื้อหมดตัว สุดท้ายไปเป็นลูกจ้างให้กับนายทุนที่ตัวเองขายที่ดินให้
สาเหตุอีกประการหนึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ ปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่มีแรงจูงใจจากภาครัฐ, เอกชน ที่ให้ผลผลิตสูง ๆ สุดท้ายก็ต้องเจ้ง เพราะนั้นคือการใช้ต้นทุนที่สูง ทั้งเมล็ดพันธุ์ ปู๋ย ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้าเป็นต้นสภาพดิน ฟ้า อากาศ ก็มีผลที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงตลาดที่รับซื้อ ความไม่แน่นอนเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุของการล้มเหลวในอาชีพของเกษตรกร
โครงการปลูกต้นไม้ใช้หนี้ ทางออกของเกษตรกรที่จะหลุดพ้นจากปัญหาหนี้สินที่มีมานาน เป็นโครงการที่เน้นให้เกษตรกรได้รู้จักคุณค่าของต้นไม้ เข้าใจในระบบความสมดุลของระบบนิเวศมุ่งแก้ไขปัญหาโลกร้อนที่เป็นเรื่องกำลัง Hot ในปัจจุบัน เป็นยุทธศาสตร์การพึ่งพาตนเองและความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย พลังงาน อาหาร และยาเป็นโครงการนำร่องโครงการสนองของคณะกรรมการผู้นำชุมชนแห่งชาติสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้นำเสนอต่อรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีและไม้ประกาศเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องดำเนินการ
เป้าหมายของโครงการมีอยู่ 3 อย่าง
1. เพื่อปลดเปลื้องหนี้สินของเกษตรกร
2. เป้าหมายด้านการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและส่งแวดล้อม
3. เป้าหมายด้านเศรษฐกิจ
3.1 เกษตรมีอาหารมียา มีไม้สร้างบ้านเรือน มีพลังงาน มีส่วนเกินขายเป็นรายได้ และปลดเปลี้องหนี้สิน
3.2 เกษตรกรสร้าง
มี 2 ตำบลนำร่อง ในอำเภอดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา คือ ตำบลหนองหล่มและตำบลคือเวียงมีงบประมาณสนับสนุน 400,000 บาท
- เป็นค่าจัดหาพันธุ์ไม้ เพาะกล้าไม้ ฝึกอบรมสมาชิก 200,000 บาท- เป็นค่าสร้างโรงเรือนเพาะชำกล้าไม่ และตั้งกองทุนกล้าไม่ 200,000 บาทสมาชิกในตำบลต้องไม่น้อยกว่า 200 ราย และต้องมีคณะกรรมการบริหารงานขั้นตอนการดำเนินการ
1. จัดประชุมกลุ่มระดับตำบล ซึ่งมีสมาชิกที่ผ่านการอบรมโครงการปลูกต้นไม้ใช้หนี้ จำนวน 200 คน
2. การจัดทำกองทุนพันธุ์ไม้ ระดับตำบล
- ดำเนินการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ คือ ถุงเพาะชำกล้าไม้ เมล็ดพันธุ์ กิ่งพันธุ์ รวมทั้งส่วนขยายพันธ
- กองทุนให้สมาชิกแต่ละคนเบิกถุงไปเพาะชำตามความต้องการของสมาชิก และคืนถุงเข้ากองทุน 10% เป็นการสมทบกองทุน
- จัดทำทะเบียนพันธุ์ไม้ซึ่งเป็นพันธุ์ไม้ท้องถิ่น
- จัดทำทะเบียนสมาชิก3. สร้างเรือนเพาะชำกล้าไม้ เพื่อสร้างระบบการจัดการกล้าไม้ของชุมชนที่สมาชิกส่งคืนมาตามเงื่อนไข
เรือนเพาะชำ มีบทบาทคือ
1. จัดทำทะเบียนกล้าไม้
2. สนับสนุนพันธุ์กล้าไม้สำหรับปลูกที่สาธารณะ
3. จำหน่ายกล้าไม้สร้างรายได้ให้กับกองทุนให้มีรายได้ขยายกิจการรุ่นต่อ ๆ ไป4. รับซื้อหรือรับฝากกล้าไม้ของสมาชิกที่เหลือปลูกเป็น
โครงการที่ดีมากทีเดียว พวกเรากลุ่มแม่น้ำร่องช้างอยากให้นักศึกษามหาลัยชีวิตทุกๆ คน มาช่วยกันปลูกต้นไม้ปีละต้นถ้าเป็นไปได้ 1 เดือน 1 ต้น ได้ยิ่งดี นักศึกษาบางคนอาจคิดในใจว่าปลูกไปทำไม ถ้าปลูกเดี๋ยวนายทุนก็มาตัดไปขาย (ขอแนะนำว่าปลูกตามหัวไร่ปลายนาก็ได้ หรือจะปลูกในบริเวณก็ได้ และไม่จำเป็นต้องปลูกไม้สัก ไม้ประดู่ เราสามารถปลูกไม้ผลที่กินได้แถมทำให้บ้านของเราน่าอยู่เย็นสบายตลอดทั้งวัน
ขอบคุณ คุณบอน-กาฬสินธุ์ มากที่ให้ความสำคัญการปลูกต้นไม้ ตอนนี้โครงการกำลังอยู่ในช่วงกำลังดำเนินการอยู่ สมาชิกกลุ่มแม่น้ำร่องช้างก็เป็นคณะกรรมการในโครงการปลูกต้นไม้ใช้หนี้อยู่หลายคน ถ้าทำแล้วประสบผลสำเร็จในอนาคตปัญหาภัยธรรมชาติอาจจะลดน้อยลง สุขภาพของคนในชุมชนก็ดีขึ้น