บทที่ 8
กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
จุดประสงค์การเรียนรู้
ผู้เรียนสามารถบอกเงื่อนไขการรับประโยชน์ทดแทนจากกองทุนชนิดต่างๆ ได้
กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
แบ่งเป็น 3 กองทุน ได้แก่
1. กองทุนประกันสังคม จ่ายเงินให้แก่ผู้ประกันตนที่ไม่ใช่เนื่องจากการทำงานให้นายจ้าง ใน 7 กรณี ได้แก่ ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ว่างงาน ทุพพลภาพ ชราภาพ และตาย
2. กองทุนเงินทดแทน จ่ายเงินทดแทนแก่ลูกจ้างเนื่องจากการทำงานให้นายจ้างแล้วประสบอันตราย เจ็บป่วย ทุพพลภาพ สูญหาย หรือตาย โดยพิจารณาจากสาเหตุที่ทำให้ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย
3. กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง จ่ายเงินสงเคราะห์แก่ลูกจ้าง กรณีถูกเลิกจ้างและนายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชย หรือเมื่อนายจ้างค้างจ่ายค่าจ้าง หรือเงินอื่นตามที่กำหนด
กองทุนที่ 1 กองทุนประกันสังคม
ผู้ประกันตน หมายถึง ลูกจ้างที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ ที่เป็นผู้ประกันตนในวันเข้าทำงานในสถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป
เงินสมทบ คือ เงินที่นายจ้างหักค่าจ้างของผู้ประกันตน ร้อยละ 5 และเงินสมทบในส่วนของนายจ้าง ร้อยละ 5 เพื่อนำส่งเข้ากองทุนประกันสังคมทุกเดือน โดยรัฐบาลออกเงินสมทบอีกร้อยละ 5
หลักฐานการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตน
1. บัตรประกันสังคม ผู้ประกันตนเป็นคนไทยใช้บัตรประจำตัวประชาชนเป็นบัตรประกันสังคม สำหรับผู้ประกันตนที่เป็นคนต่างด้าวจะได้รับบัตรประกันสังคม เพื่อใช้ในการติดต่อกับสำนักงานประกันสังคม
2. บัตรรับรองสิทธิการรักษาพยาบาล ผู้ประกันตนจะได้รับบัตรเมื่อได้ขึ้นทะเบียนและส่งเงินสมทบครบ 3 เดือนแล้ว โดยผู้ประกันตนต้องระบุสถานพยาบาลที่เข้ารับการรักษา ซึ่งจะให้การรักษาพยาบาลตามสิทธิและไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นผู้เข้ารับการรักษาต้องจ่ายเงินเอง
สิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตน
1. กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยฉุกเฉินที่ไม่เกี่ยวกับการทำงาน ได้รับบริการทางการแพทย์ เงินทดแทนการขาดรายได้ ค่าบริการทางการแพทย์กรณีถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูน และการใส่ฟันเทียมชนิดถอดได้ฐานอคริลิก ค่าอวัยวะเทียม และอุปกรณ์บำบัดโรค การบำบัดทดแทนไตโดยการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม การล้างช่องท้องด้วยน้ำยาแบบถาวร การปลูกถ่ายไต การปลูกถ่ายไขกระดูก และการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา
2. กรณีคลอดบุตร ได้เงินค่าคลอดบุตร และเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร
3. กรณีทุพพลภาพ ได้เงินค่าบริการทางการแพทย์และเงินทดแทนการขาดรายได้ และค่าอวัยวะเทียม ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ทุพพลภาพ ค่าทำศพ และเงินสงเคราะห์กรณีตาย
4. กรณีตาย ได้รับเงินค่าทำศพและเงินสงเคราะห์กรณีตาย
5. กรณีสงเคราะห์บุตร ได้รับเงินสงเคราะห์บุตรสำหรับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายที่อายุไม่เกิน 6 ปี คราวละไม่เกิน 2 คน โดยเหมาจ่ายเดือนละ 350 บาท ต่อบุตร 1 คน
6. กรณีชราภาพ ได้รับเงินบำเหน็จชราภาพ หรือเงินบำนาญชราภาพ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการนำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตน
7. กรณีว่างงาน หากถูกเลิกจ้างได้รับเงินทดแทนครั้งละไม่เกิน 180 วัน ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้าง หากลาออกจากงานได้รับเงินทดแทนปีละไม่เกิน 90 วัน ในอัตราร้อยละ 30 ของค่าจ้าง
หมายเหตุ สิทธิประโยชน์ 4 กรณีแรก ให้ความคุ้มครองต่อไปอีก 6 เดือน นับแต่วันสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง
การได้รับสิทธิประโยชน์
กรณี |
จ่ายเงินสมทบ ไม่น้อยกว่า (เดือน) |
ภายในระยะเวลา (เดือน) |
เจ็บป่วย และทุพพลภาพ |
3 |
15 |
คลอดบุตร |
7 |
15 (ก่อนวันคลอด) |
ตาย |
1 |
6 (ก่อนตาย) |
สงเคราะห์บุตร |
12 |
36 (ก่อนเดือนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์) |
ชราภาพ |
เมื่อมีอายุครบ 55 ปี และความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง หรือทุพพลภาพ หรือตาย |
|
ว่างงาน |
6 |
15 (ก่อนการว่างงาน) |
กรณีเจ็บป่วย
1. ให้นำบัตรรับรองสิทธิการรักษาพยาบาลและบัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรอื่น ที่ทางราชการออกให้ ซึ่งมีรูปถ่ายด้วย ไปแสดงในการรับการรักษาพยาบาล โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เมื่อเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิหรือเครือข่ายของสถานพยาบาลนั้น และได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ร้อยละ 50 ของค่าจ้าง ตามที่หยุดงานจริงตามคำสั่งแพทย์ แต่ไม่เกิน 90 วันต่อครั้ง และไม่เกิน 180 วันต่อปี เว้นแต่ ป่วยด้วยโรคเรื้อรังจะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ไม่เกิน 365 วัน
2. ผู้ประกันตนจะเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลอื่นได้ โดยมีเหตุผลอันสมควรในกรณีประสบอันตราย (อุบัติเหตุที่ทำให้บาดเจ็บ อันอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ) หรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน (โรคที่เกิดขึ้นโดยเฉียบพลันรุนแรงอันอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต หรือต้องรักษาเป็นการด่วน) และผู้ประกันตนได้ทดรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อน สามารถเบิกคืนจากสำนักงานประกันสังคมในอัตราที่กำหนดดังนี้
2.1 เข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของรัฐ
ผู้ป่วย |
เบิกค่ารักษาพยาบาล |
จำนวนครั้งในการเบิกค่ารักษาพยาบาล |
|
ประสบอันตราย |
เจ็บป่วยฉุกเฉิน |
||
นอก |
เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น |
ไม่จำกัด |
ไม่เกิน 2 ครั้งต่อปี |
ใน |
เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น ภายในระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง (ค่าห้อง และค่าอาหารเบิกได้ไม่เกินวันละ 700 บาท) |
2.2 เข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของเอกชน ไม่ว่ากรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน สามารถเบิกได้ดังนี้
2.2.1 กรณีผู้ป่วยนอก
- สามารถเบิกค่าบริการทางการแพทย์เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 1,000 บาท
- หากเกิน 1,000 บาท ต้องเป็นการตรวจรักษาตามรายการในประกาศฯ ดังนี้ การให้เลือดหรือส่วนประกอบของเลือด การฉีดสารต่อต้านพิษจากเชื้อบาดทะยัก การฉีดวัคซีนหรือเซรุ่มป้องกันโรคพิษสุนัจบ้าเฉพาะเข็มแรก การตรวจอัลตร้าซาวด์ กรณีที่มีภาวะฉุกเฉินเฉียบพลันในช่องท้อง การตรวจด้วย CT-SCAN หรือ MRI จ่ายตามเงื่อนไขที่กำหนด การขูดมดลูกกรณีตกเลือดหลังคลอดหรือตกเลือดจากการแท้งบุตร ค่าฟื้นคืนชีพ และกรณีที่มีการสังเกตอาการในห้องสังเกตอาการตั้งแต่ 3 ชั่วโมงขึ้นไป
2.2.2 กรณีผู้ป่วยใน
- กรณีที่ไม่ได้รักษาในห้อง ICU เบิกค่ารักษาพยาบาล ได้ไม่เกินวันละ 2,000 บาท และค่าห้องและค่าอาหาร ไม่เกินวันละ 700 บาท
- กรณีที่รักษาในห้อง ICU เบิกค่าห้อง ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาล ได้ไม่เกินวันละ 4,500 บาท
- กรณีผ่าตัดใหญ่ เบิกได้ไม่เกินครั้งละไม่เกิน 8,000-16,000 บาท ตามระยะเวลาการผ่าตัด
- ค่าฟื้นคืนชีพ รวมค่ายาและอุปกรณ์ เบิกได้ไม่เกิน 4,000 บาท
- ค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการ และหรือเอกซเรย์ เบิกได้ไม่เกิน 1,000 บาท
- กรณีตรวจวินิจฉัยพิเศษ ได้แก่ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง การตรวจคลื่นสมอง การตรวจอัลตร้าซาวด์ การสวนเส้นเลือดหัวใจและเอกซเรย์ การส่องกล้องการตรวจด้วยการฉีดสี การตรวจด้วย CT-SCAN หรือ MRI จ่ายตามเงื่อนไขที่กำหนด
3. กรณีมีความจำเป็น ต้องรับหรือส่งตัวผู้ป่วยไปตรวจวินิจฉัยหรือรักษาต่อยังสถานพยาบาลอื่นภายในระยะเวลา 72 ชั่วโมง สามารถเบิกค่าพาหนะตามอัตรา ดังนี้
- ภายในเขตจังหวัดเดียวกัน สำหรับค่ารถพยาบาลหรือเรือพยาบาล จ่ายตามจำนวนเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 500 บาทต่อครั้ง และ 300 บาทต่อครั้ง สำหรับพาหนะรับจ้างหรือส่วนบุคคล
- ในกรณีข้ามเขตจังหวัด จ่ายเพิ่มจากกรณีภายในเขตจังหวัดเดียวกันอีกตามระยะทางกิโลเมตรละ 6 บาท (ตามระยะทางกรมทางหลวง)
4. เมื่อผู้ประกันตนเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลอื่น ผู้ประกันตนหรือญาติหรือผู้เกี่ยวข้องต้องรีบแจ้งให้สถานพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิฯ ทราบโดยด่วน เพื่อรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลต่อไป
สำหรับค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นก่อนการแจ้งให้สถานพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิฯทราบ สำนักงานประกันสังคมจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายภายใน 3 วัน (72 ชั่วโมง) ตามประเภทและอัตราที่ประกาศกำหนด
ส่วนค่าใช้จ่ายที่เกินอยู่ในความรับผิดชอบของสถานพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิฯ นับตั้งแต่เวลาที่สถานพยาบาลตามบัตรฯได้รับแจ้ง
5. กรณีไม่มีบัตรรับรองสิทธิฯ แต่ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบครบเงื่อนเวลาก่อให้เกิดสิทธิแล้ว ให้เข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของรัฐ โดยเบิกค่าบริการทางการแพทย์ได้เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น ส่วนสถานพยาบาลของเอกชนให้เบิกตามประกาศฯ กำหนด
กรณีทันตกรรม
1. การถอนฟัน อุดฟัน และขูดหินปูน ได้รับค่าบริการทางการแพทย์เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น ไม่เกิน 250 บาทต่อครั้ง และไม่เกิน 500 บาทต่อปี
2. การใส่ฟันเทียมชนิดถอดได้ฐานอคริลิก ได้รับค่าบริการทางการแพทย์และค่าฟันเทียม 1-5 ซี่ เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น ไม่เกิน 1,200 บาท และมากกว่า 5 ซี่ เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นในวงเงินไม่เกิน 1,400 บาท ภายในระยะเวลา 5 ปีนับแต่วันที่ใส่ฟันเทียม
กรณีคลอดบุตร
1. ผู้ประกันตนหญิง หรือผู้ประกันตนชายที่มีภริยาจดทะเบียนสมรสหรือหญิงซึ่งอยู่กินฉันสามีภริยาแต่มิได้จดทะเบียนสมรส สามารถคลอดบุตรที่สถานพยาบาลใดก็ได้ แล้วนำสำเนาสูติบัตรของบุตร สำเนาทะเบียนสมรส (ถ้ามี) หรือหนังสือรับรองกรณีไม่มีทะเบียนสมรส (เฉพาะกรณีผู้ประกันตนชายใช้สิทธิแล้วไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับภริยา) มาเบิกเงินเหมาจ่ายค่าคลอดบุตร ที่สำนักงานประกันสังคมได้ 2 ครั้ง ๆ ละ 12,000 บาท
2. สำหรับผู้ประกันตนหญิง ได้รับเพิ่มเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรอีก ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ยเป็นเวลา 90 วัน
กรณีทุพพลภาพ
1. ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ เป็นรายเดือนตลอดชีวิต ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้าง
2. ได้รับเงินค่าบริการทางการแพทย์เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น ไม่เกินเดือนละ 2,000 บาท
3. ได้รับค่าใช้จ่ายในกระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ทุพพลภาพทางร่างกาย จิตใจ และอาชีพ ตามประกาศสำนักงานประกันสังคม ฯ ไม่เกิน 40,000 บาทต่อราย
4. หากเสียชีวิตได้รับค่าทำศพ และเงินสงเคราะห์กรณีตายเช่นเดียวกับกรณีตาย
กรณีตาย
1. ได้รับค่าทำศพ 30,000 บาท
2. ได้รับเงินสงเคราะห์กรณีตาย ดังนี้
จ่ายเงินสมทบตั้งแต่ |
ได้รับเงินสงเคราะห์เท่ากับค่าจ้างเฉลี่ย(เดือน) |
3 ปีขึ้นไปแต่ไม่ถึง 10 ปี |
1.5 |
10 ปีขึ้นไป |
5 |
กรณีสงเคราะห์บุตร
ได้รับเงินสงเคราะห์บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งมีอายุไม่เกิน 6 ปีบริบูรณ์ คราวละไม่เกิน 2 คนๆ ละ 350 บาท
กรณีชราภาพ<span style="font-size: 16pt; fo
ไม่มีความเห็น