ได้รับฟังความคิดเห็นของท่านผู้รู้จากแดนไกลแล้วรู้สึกว่า เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องศึกษาการทำงานของแต่ละหน่วยงานให้เข้าใจ คงจะเป็นเรื่องที่อยากมากกว่าที่จะให้ชาวบ้านเข้าไปศึกษากับหน่วยงานราชการเพราะการมีส่วนร่วมของประชาชนมีน้อย จึงทำให้เป็นอุปสรรคในการทำงาน แต่เลขาจำเป็นคิดว่า ถ้าการทำงานไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนก็แล้วแต่ ถ้าเป้าหมายการทำงานนั้นเป็นเป้าหมายเดียวกันก็ควรจะรีบเข้ามาให้ชาวบ้านได้ทำงานในการเป็นหุ้นส่วนของการพัฒนาด้วยนะคะ หรือว่าไม่แน่ใจคิดอย่างเลขาจำเป็นบ้างหรือเปล่า เพราะเท่าที่มีประสบการณ์ในการทำงานแล้วได้เจออะไรที่เป็นการทำงานที่แตกต่างจากที่พวกเราทำงานจึงทำใจอีกมาก และนานอีกเท่าไหร่ถึงจะประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้
เลขาจำเป็นคงต้องเหนื่อยหน่อย เพราะหน่วยงานส่วนใหญ่ถ้ามีงบประมาณก็จะอ้างกรอบระเบียบ โดยให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมตามกรอบระเบียบ
หากไม่มีงบประมาณ ถ้าเราเชิญก็จะเข้ามาร่วมรับฟังแล้วก็กลับไป ดร.อุทัยพูดเหน็บไว้ว่า เข้ามาเพิ่มชาวบ้านขึ้นอีก1คนคือ ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น
เราควรตั้งหลักของเราเอง สร้างความเข้าใจกับสมาชิกในฐานะหุ้นส่วนการพัฒนา
เน้นกระบวนการเรียนรู้กับสมาชิก
สร้างความเข้มแข็งจากฐานราก
หน่วยไหนเข้ามา มีวัฒนธรรมอย่างไรก็ช่างเค้า
ถ้าพอประสานทำงานร่วมกันได้ก็แสวงจุดร่วม
ที่แตกต่างกันก็สงวนไว้
ครูชบใช้วิธีการนี้คิดว่าในระยะยาวจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม
การเรียนรู้ เข้าใจ ปัจจัยที่ไม่อาจบังคับได้ดังใจ
คือหน้าที่ของเลขาจำเป็น
เข้าใจมากก็จัดการกับความรู้หรือความเข้าใจนั้นให้เป็นประโยชน์ได้มาก
เข้าใจน้อยก็ทุกข์ใจมากเพราะมันไม่ได้ดังใจ
มันไม่ได้เรื่องเลย
สมาชิกเป็นกลุ่มเป้าหมายที่สามารถคุยกันอย่างได้เรื่องมากที่สุดเพราะเป็นกองทุนของเขา
เราควรเน้นทำงานจัดการความรู้กับส่วนนี้ให้มากขึ้น
การต่อกับหน่วยงาน มันผันแปรเอาแน่นอนไม่ได้
อยากให้คำแนะนำเพิ่มเติมกับชุมชนว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ผมอยากให้ชุมชนเติมโตได้เองโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งหน่วยงานไหนๆเลยมากกว่าครับ เพราะถ้าชุมชนยังต้องพึ่งหน่วยงานต่างๆ ก็จะทำให้ชุมชนไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง(ไม่ยั่งยืน)