"ชาตรี ตายแล้วโว้ย ไม่ไปทำข่าวล่ะ" มีเสียงตะโกนโหวกเหวกอยู่หน้าโรงพิมพ์ในเช้าวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังง่วนอยู่กับการเรียบเรียงข่าว ชะโงกหน้าออกไปดูเห็นมอเตอร์ไซค์รับจ้างวิ่งเข้ามาจอด
นึกว่าใคร...คนส่งหนังสือพิมพ์ประจำโรงพิมพ์เรานั่นเอง..."ชาตรี ตายแล้วจริงๆ"เขาย้ำคำพูดเดิมอีกทีเหมือนกลัวผมจะไม่เชื่อ
"เหรอ....ที่ไหนล่ะ"ผมถาม
"ก็ชาตรีพักอยู่โรงแรมแสงทองนะ คุณลองไปดูที่นั่นสิ"เขาบอก
ช่วงนั้นประมาณปี 2532-2534 (ไม่แน่ใจ) ผมทำงานอยู่กับหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับหนึ่งในชลบุรี ทำทุกอย่างตั้งแต่จัดหน้า เรียบเรียงข่าว คัดเลือกข่าว หาโฆษณาหรือแม้แต่เป็นนักข่าวเสียเอง และกับชาตรี ศรีชล ผมพอจะได้สัมผัสอยู่บ้าง เพราะเขาใช้ชีวิตในช่วงนั้นเป็นนักร้องตามสวนอาหารอยู่ในตัวเมือง
เรือนอาหารสายชล ของบุปผา สายชล(ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) สวนอาหารแฟนแอนด์จิ๊บหน้าร.พ.ชลบุรี(คุณสมานเจ้าของร้านก็เสียชีวิตแล้วเช่นกัน) เป็นสถานที่ที่จะเจอะเจอกับ ชาตรี ศรีชล บ่อยที่สุด
แน่นอน....พอทราบเรื่องนี้เลือดนักข่าวในกายก็ฉีดพล่านขึ้นมาทันที ผมคว้ากระเป๋ากล้องคู่ใจคร่อมมอเตอร์ไซค์คันเก่ง ห้อไปให้ถึงแหล่งข่าวโดยเร็ว
ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีผมไปถึงโรงแรมแสงทอง เจอกับพนักงานโรงแรม
"หนูเห็นอาการเขาไม่ดีค่ะ เลยเรียกสามล้อให้ไปส่งโรงพยาบาล"เจ้าหล่อนจีบปากจีบคอชี้แจง ผมรีบเดินออกจะไปที่โรงพยาบาล แต่เธอก็เรียกไว้
"แต่หนูได้ยินคุณชาตรีเขาบอกให้สามล้อคันนั้นไปส่งที่เรือนจำนะพี่"
ผมพอจะนึกออกเลือนลาง ชาตรี ศรีชล เคยติดคุกอยู่ที่นั่นช่วงหนึ่ง คงจะมีอะไรผูกพันอยู่ที่นั่นบ้างกระมัง และตามข้อมูลที่ได้เพิ่มเติมมา ชาตรี ศรีชล ไม่ไปร.พ.แต่อยากมาหาเพื่อนที่นั่น เพื่อนคนนี้เป็นผู้คุมอยู่เรือนจำกลางชลบุรี ผมไม่แน่ใจว่าจะเป็นเพื่อนกันตอนติดคุกหรือเป็นเพื่อนกันมาก่อนหน้านั้นแล้ว เพราะเมื่อไปถึงผมไม่เจอกับผู้คุมคนที่ว่า แต่เจอกับภรรยาของผู้คุมแทน เธอแนะนำตัวเองว่าชื่อ "ปราณี"
ผมยกมือสวัสดีและพูดคุยกัน...
........ซมซาน...ทรมาน...มานานหลายปี ขาดคนเมตตาปราณี ขาดน้องพี่มานานแสนนาน.....พี่ถูกตัดรัก ตัดรักจนเซ่อซมซาน ไกลพี่ไกลจากบ้าน สงสารฉันบ้างเถอะสาว.....
นั่นเป็นเนื้อเพลงท่อนหนึ่งของบทเพลงที่ชื่อ "ซมซาน" ชาตรี ศรีชลแต่งเอง ร้องเอง พี่ปราณีบอกว่าเป็นบทเพลงที่ชาตรีแต่งให้เป็นที่ระลึก
พี่ปราณีหยิบถุงกร๊อบแกร๊บมาให้ผมดู บอกว่าเป็นของชาตรี ศรีชลที่ติดมาด้วยกับรถสามล้อ ในนั้นมีแปรงสีฟัน ยาสีฟัน รองเท้า 2 คู่ ผมไม่อยากจะแน่ใจว่านั่นคือสมบัติชิ้นสุดท้ายที่ติดตัว ชาตรี ศรีชล ราชาลูกทุ่งผู้โด่งดังในอดีต แต่ผมก็เห็นกับตาว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ....
พี่ปราณีให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ชาตรี ศรีชล น่าจะเสียชีวิตระหว่างทาง เพราะเมื่อมาถึงเรือนจำก็ตัวแข็งหมดแล้ว สามีของเธอจึงรีบนำส่งโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์วินิจฉัย
ผมตามไปที่โรงพยาบาลอีกรอบ เจ้าหน้าที่บอกว่าญาติมารับศพกลับบ้านไปแล้ว
ผมกลับมาถึงโรงพิมพ์ด้วยอาการเศร้าซึม เพราะชาตรี ศรีชลเป็นนักร้องที่ผมชื่นชอบมาตั้งแต่เด็กๆ เริ่มตั้งแต่เพลง ทหารห่วงเมีย สมัครรักสมัครแฟน ธรณีชีวิต ช้ำรักจากเมืองชล และอีกหลายๆเพลงเลยทีเดียว (หลายปีต่อมาผมยังมีโอกาสพูดคุยกับ "พี่วิไล"อยู่ที่บ้านโขด ชลบุรี พูดถึงเพลง สาวผักไห่ "โอกาสหน้าพี่จะมาหาใหม่ ไม่ลืมคนชื่อวิไลบ้านผักไห่อยุธยา....."อีกด้วย)
ผมบรรจุข่าวชาตรี ศรีชล เสียชีวิตลงบนกรอบเล็กๆในหน้าในของหนังสือพิมพ์ในวันรุ่งขึ้น แต่อีก 2-3 วันต่อมาหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่หัวสีจากส่วนกลางเกือบทุกฉบับก็พาดหัวตัวเป้งบนหน้าหนึ่ง
"งานศพชาตรี เงียบเหงา" ซึ่งพิจารณาจากเนื้อข่าวแล้วก็ปรากฎว่ามีเฉพาะญาติสนิทและเพื่อนสนิทจริงๆแถวๆบ้านเท่านั้นที่ไปร่วมงาน ผมคิดถึงสัจจธรรมของชีวิต สมัยรุ่งเรืองชาตรี ศรีชล คงจะมีเพื่อนพ้องบริวารมากมาย แต่เมื่อเดินทางมาถึงจุดตกต่ำก็คงไม่มีใครอยากเหลียวแล
ไม่ว่าจะเพราะโชคชะตาฟ้าลิขิต หรือเพราะการกระทำของตัวเอง ชาตรี ศรีชล ก็ยังคงเป็นนักร้องนักแต่งเพลงที่เก่งกาจชนิดหาตัวจับยากคนหนึ่ง แต่กับเรื่องการใช้ชีวิตนั้น.....ผู้ที่ใกล้ชิดกับชาตรี ศรีชลจริงๆน่าจะให้ข้อมูลได้ดีกว่าผม.
หมายเหตุ เพลงตำนานชาตรี ศรีชล แต่ง+ร้อง+เจ้าของลิขสิทธิ์ โดย สีแพร เมฆาลัย ผมได้ยินเพลงนี้เขาร้องสดๆเมื่อปี 2542 และปีนี้ผมได้รับแผ่นซีดีจากคุณสีแพร มา 1 แผ่น บรรจุ 10 เพลง มีเพลงนี้รวมอยู่ด้วย ขออนุญาตนำมาให้คอเพลงของชาตรี ศรีชลได้ฟังกันโดยมิได้บอกกล่าว เนื่องจากคุณสีแพร ไปเล่นดนตรีอยู่ที่ประเทศรัสเซีย และต้องขออภัยบุคคลที่ถูกอ้างถึงในบันทึกฉบับนี้ด้วยครับ เจตนามิมีอื่นใด นอกจากจะนำเสนอเรื่องราวของอดีตนักเพลงท่านนี้เท่านั้น .
ชอบมากๆ
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวของ ชาตรี ศรีชลครับ ในเพลง ซ้ำรักจากเมืองชล
"พี่ยากจนจากชลบุรี ขอน้องปราณี สงสารพี่หน่อย อย่าให้พี่พี่เฝ้าหลงคอย รับรักพี่หน่อย ..."
สัจจธรรม มาแล้วไป ที่หลงเหลืออยู่ คือความดี ชั่ว ให้กล่าวขาน จดจำ หรือลืมเลือน
บั้นปลายของอัจฉริยะ ทำไมถึงฉากจบ จึงน่าสลดแทบทั้งนั้น ลองย้อนดูสิครับ ตั้งแต่ยุคท่านสุนทรภู่ เป็นต้นมา แปลกมาก