ฟูจิยามา ยามฟ้าสีครามสดใส : มหัศจรรย์จากญี่ปุ่น


นี่คือสุดยอดธรรมชาติอันงดงามยิ่งของญี่ปุ่น
 

   Fujiyama ในวันท้องฟ้าสดใสสีคราม

   ปรากฏการณ์ที่น้อยนักจะได้เห็น   

------------------------------------------------------------

 

             

            สูตร 678 ของไกด์ราณี เริ่มใช้เป็นวันแรก นั่นหมายถึงปลุก 6 โมง กินข้าว 7 โมงและล้อรถหมุน 8 โมง  ทุกคนต้องปฏิบัติตามสูตรนี้อย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้นกำหนดการต่างๆ จะคลาดเคลื่อนไปหมด บางคนแซวไกด์เล็กๆ ว่า   "ต้องเชื่อยิ่งกว่าเมียเสียอีก เพราะกลัวหลง พูดญี่ปุ่นก็ไม่ได้ อังกฤษก็ไม่รู้เรื่อง เห็นทีต้องกินข้าวลิงเป็นแน่"   เรียกเสียงฮาจากคณะเพราะท่านผู้นี้กลัวเมียยิ่งกว่าอะไร แต่ต้องมาเชื่อไกด์ยิ่งกว่า

                ผู้เขียนตื่นนอนก่อน 6 โมง ด้วยความสดชื่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน อาจเป็นเพราะได้นอนหลับเต็มอิ่มและแสนสบาย ประกอบกับอากาศที่นี่สดชื่นมาก แม้อุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 0-5 องศา เย็นยะเยือกจับใจก็ตาม  ผู้เขียนหิ้วกล้องลงมาถ่ายรูปเพื่อเก็บบรรยากาศทะเลสาบยามเช้า    ลงมาก็สมใจปรารถนา  เพราะบรรยากาศสวยงามน่าประทับใจมาก ได้เห็นภูเขาฟูจิทาบเงาบนผิวน้ำทะเลสาบที่ราบเรียบใสราวกับกระจก งดงามเหมือนกับภาพวาดของจิตรกรเอกที่บรรจงวาดสุดฝีมือ ยิ่งสร้างความประทับใจเหลือเกิน  ยามเช้าเช่นนี้เราจะได้เห็นบรรดาชาวประมงนำเรือเล็กๆ ลอยอ้อยอิ่งตกปลาเหนือผิวน้ำ  และฝูงนกเป็ดน้ำลอยตัวหาปลาเป็นแถวเป็นแนวจนทำให้เกิดคลื่นเล็กๆ บนผิวน้ำ  สร้างเสน่ห์ให้ทะเลสาบมากยิ่งขึ้น  

                            ใกล้เวลารับประทานอาหาร 7 โมง ผู้เขียนรีบขึ้นมารับประทานอาหารและเก็บกระเป๋าขึ้นรถ แม้จะเสียดายบรรยากาศริมทะเลสาบแต่ก็ปรารถนาที่จะไปทักทายฟูจิยามาอย่างใกล้ชิด เพราะวันนี้เราจะเดินทางขึ้นไปบนยอดเขาฟูจิยามา ทราบจากไกด์ว่า วันนี้เราอาจโชคดีที่จะได้ขึ้นไปบนชั้นสูงสุดที่ทางการจะอนุญาตให้ขึ้นไปได้

             Fujiyama  ชื่อภูเขานี้มาจากคำว่า Fuji  ซึ่งจากคำอธิบายในหนังสือภูมิทัศน์มหัศจรรย์ของโลก ของรีดเดอร์ส ไดเจสท์  กล่าวว่า น่าจะมาจากคำว่า Fushi   แปลว่า ไฟในภาษาไอนุ ของชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่บูชาภูเขาฟูจิว่าศักดิ์สิทธิ์   ส่วนคำว่า Yama แปลว่า ภูเขาชาวญี่ปุ่นเรียกภูเขานี้ว่า ฟูจิซัง เพื่อเป็นการให้เกียรติอย่างยิ่ง และเชื่อว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่ศาสนาชินโตในญี่ปุ่นก็ให้ความเคารพ ยิ่งไปกว่านั้นยังเกิดลัทธิบูชาภูเขาไฟฟูจิ ที่เรียกว่า ฟูจิโกะ หรือ  สมาคมฟูจิ เมื่อ ค.ศ.1558 ปัจจุบันยังมีสาวกอยู่มากเหมือนกัน 

                                         ภูเขาไฟฟูจิ เป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ มีความสูงถึง  3,776  เมตร วัดรอบฐานภูเขาได้ 125 กิโลเมตร  ฟูจิ เคยระเบิดครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 800  และระเบิดต่อมาเป็นระยะ ครั้งสุดท้ายระเบิดเมื่อปี ค.ศ. 1707  ความรุนแรงทำให้เถ้าถ่านสีดำปลิวไปตกถึงเมืองโตเกียวซึ่งอยู่ห่างออกไปถึง 96 กิโลเมตร            

        เสน่ห์ของภูเขาไฟฟูจิอยู่ที่รูปร่างคล้ายหอยรูปพัดและเป็นกลีบดอกไม้8 กลีบ ยอดภูเขาเป็นทรงป้าน และลาดเอียงยาวลงไปเป็นฐานกว้าง  ยามหิมะปกคลุมยอดเขาขาวสะอาดสะท้อนแสงอาทิตย์ในแต่ละกาลเวลาทำให้สีสันภูเขาเปลี่ยนแปลงไปและงดงามแตกต่างกันอย่างน่ามหัศจรรย์ นักเดินทางมากมายที่พยายามไต่ขึ้นภูเขาไฟฟูจิในยามกลางคืนเพื่อให้ถึงยอดเขาในทันเวลารุ่งเช้าเพื่อจะได้ชมพระอาทิตย์อุทัยทอแสงจับท้องฟ้า นี่คือความมหัศจรรย์ของธรรมชาติภูเขาไฟฟูจิ จิตวิญญาณอย่างหนึ่งของชาวญี่ปุ่น  

                 

                                                                                                                                                                                                                               ภาพแนวเทือกเขาที่เห็นด้านหลัง คือ เทือกเขาที่คล้ายกับเทือกเขาแอลป์ ในยุโรป (ถ่ายจากชั้นที่ 4 ของภูเขาไฟฟูจิ  ความสูง 2,020 เมตร)  ท่ามกลางอุณหภูมิต่ำสิบองศาเซลเซียส สังเกตจะเห็นแนวหิมะขาวโพลนจับยอดเขา แม้แต่ที่เราถ่ายรูป หิมะก็ยังจับตัวเป็นน้ำแข็งอยู่ 

                               โดยปกติชาวญี่ปุ่นมักนิยมขึ้นไปชมภูเขาไฟฟูจิในช่วงฤดูร้อน เพราะสามารถขึ้นไปชมถึงยอดได้โดยสะดวก เพราะไม่มีหิมะมาปกคลุมถนนหนทางให้เกิดอันตราย  ยอดเขาฟูจิจะมีหิมะปกคลุมขาวโพลนเกือบตลอดทั้งปี อุณหภูมิบนยอดเขาต่ำกว่า 5 องศาจนถึงติดลบในฤดูหนาว  มีสถิติที่น่าตื่นตะลึงเกี่ยวกับภูเขาไฟฟูจิ ก็คือ มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างประเทศมาเที่ยวชมภูเขาไฟฟูจิถึงปีละ  80 ล้านคน  หรือเป็นจำนวนเกินครึ่ง ของจำนวนประชากรของญี่ปุ่น (126.9 ล้านคน)  สำหรับการเดินทางไปชมภูเขาไฟฟูจิของคณะเราในเดือนมีนาคมนี้ต้องถือว่าโชคดีมาก เพราะวันนี้ภูเขาไฟฟูจิสวยงามมากที่สุดวันหนึ่งในรอบปีเลยทีเดียว   ที่ว่าโชคดีที่สุดก็เพราะวันนี้เราเห็นยอดเขาฟูจิที่สวยงามไร้เมฆหมอกมาบดบังยอดเขา ท้องฟ้าเป็นสีครามเข้มสดใสมาก ไกด์ราณีบอกว่า แม้แต่ชาวญี่ปุ่นเองการจะได้เห็นภูเขาไฟฟูจิชัดเจนสวยงามเช่นวันนี้มีน้อยมาก ถ้าได้เห็นอย่างนี้เพียง 3 ครั้งในรอบปี ก็ถือว่าโชคดีเป็นที่สุดแล้ว นี่เท่ากับพวกเรามีบุญมากจึงได้เห็นภูเขาไฟฟูจิที่สวยงามอย่างนี้ ไม่รู้ยอเราหรือเปล่าแต่ที่แน่ๆ ทำให้หัวใจของพวกเราทุกคนพองโต ภูมิใจที่ได้มาเห็นธรรมชาติอันน่ามหัศจรรย์เช่นนี้  

 

              การขึ้นไปชมภูเขาไฟฟูจินั้น รถบัสของเราจะต้องไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ราวกับขึ้นไปยังดินแดนสวรรค์ ไกด์ราณีอธิบายว่า ถนนที่ขึ้นไปชมภูเขาฟูจินี้ ชื่อว่า Subaru  ซึ่งหมายถึงเส้นทางไปสู่ดวงดาว  ดาวที่ว่านี้คือ ดาวลูกไก่  ขอให้สังเกตตราสัญลักษณ์ของรถซุบารุ จะเป็นดาวลูกไก่ 

            วันนี้ถือว่าโชคดีมากที่เราสามารถขึ้นไปชมภูเขาฟูจิ  ถึงชั้นที่ 4  ระดับความสูง  2,020  เมตร  หรือสูง 1 ใน 3 ของความสูงของภูเขา  เท่ากับว่าเราได้ไปเหยียบบ่าของภูเขา และแหงนหน้ามองยอดเขาจะเห็นได้ชัดเจนเลยทีเดียว                             

                    ไกด์ราณีบอกกับพวกเราว่าขณะนี้ทางการยังไม่เปิดประตูให้ขึ้นชม เขาจะเปิด 4 โมงเช้า ดังนั้นเรายังมีเวลาเหลืออีกประมาณ 1 ชั่วโมง  จะขอพาเราไปชมพิพิธภัณฑ์หินควอร์ทซเพื่อฆ่าเวลา พวกเราก็ตกลงเพราะเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยาก 

                                   พิพิธภัณฑ์หินควอร์ทซ (quartz)เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บตัวอย่างหินควอร์ทซที่ขุดได้จากภูเขาไฟฟูจิ มีมากมายหลายชนิด ทั้งสีดำ (โทรมารีน)  สีม่วง (อามีดีส)  สีขาว (หินเขี้ยวแก้วหนุมาน)สีน้ำตาล แต่ละชนิดล้วนสวยงาม มีทั้งก้อนเล็ก ก้อนใหญ่  นอกจากจะเก็บตัวอย่างหินแล้วพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังมีโรงงานเจียระไนหินเพื่อการจำหน่ายให้นักท่องเที่ยวด้วย พูดมาถึงตอนนี้เราหลายคนก็ไม่ค่อยให้ความสนใจ สงสัยเป็นแผนของไกด์พาเราไปให้เขาสับหมูเล่นกระมัง ผู้เขียนตั้งใจก่อนเข้าไปชมว่าจะไม่หลวมตัวซื้อหินควอร์ทซมาเป็นอันขาด หินบ้านเราก็มีมากมายและสวยด้วย 

   

                                             เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ พาเราไปชมตัวอย่างหิน สวนหิน พร้อมอธิบายเป็นฉากๆ เราก็ฟังไปแกล้งอุทานเอาใจเขาไปตามเรื่อง แต่พอเข้าไปถึงจุดที่เรียกว่า  Power Zone  ซึ่งเป็นแท่งหินควอร์ทซสีน้ำตาลที่หายากยิ่ง ก้อนมหึมา หนักถึง 130 กิโลกรัม เขาแขวนไว้บนเสาเพื่อให้เราลอด ซึ่งตามหลักวิทยาศาสตร์หินควอซจะมีพลังแม่เหล็กถาวรอยู่ด้วย ใครที่ลอดใต้แท่งหินมหึมานี้ก็จะทำให้เกิดความโชคดี สุขภาพดี พอพูดเข้าทางนิสัยของคนไทยทำให้พวกเราเริ่มสนใจพากันลอดหินและถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกกันใหญ่

               นี่ก็เป็นเคล็ดลับดึงความสนใจ คนไทยอย่างเราเชื่อเรื่องพวกนี้ง่ายจะตายไป อะไรที่ใครว่าศักดิ์สิทธิ์ มีอำนาจ อย่างนี้มีหรือจะพลาด ต่างคนต่างผลัดกันลูบคลำ  บางคนคลำอย่างเดียวไม่พอ พยามจะขูดเลขด้วย บอกกับพรรคพวกว่า 

 "เดี๋ยวเจอเลขเด็ดจะกระซิบบอกโว้ย"

อีกคนเลยแซวว่า "ถ้ามันจะออกเลขไทยงั้นแหละ ที่นี่ญี่ปุ่นก็ต้องออกเป็นเลขญี่ปุ่นน่ะซีพี่ โธ่เอ๊ย"

หลายคนเลยฮาสำหรับความเด๋อด๋าของบรรดากะเหรี่ยงอพยพของสองคน

 

               เมื่อเข้าไปด้านในพิพิธภัณฑ์ ก็ยิ่งน่าสนใจเพราะมีตัวอย่างหินควอร์ทซหลากหลายสีตั้งเรียงรายอยู่ยั่วน้ำลายพวกเราให้สอขึ้นตามลำดับ จากนั้นก็พาเราไปชมการสาธิตการดูหินควอร์ทซแท้ โดยเขาเอาหินควอร์ทซและแก้วมาสลักเสลาให้เป็นลูกกลม แล้วนำกระดาษมาขีดเส้นตรงวางในแนวตั้งกึ่งกลางลูกหินและลูกแก้วทางด้านหลัง แล้วให้เรามองผ่านด้านหน้าไปถ้าเป็นหินควอร์ทซแท้จะเห็นเส้นตรงเป็นสองเส้น เพราะเกิดการหักเห ส่วนแก้วจะเห็นเป็นเส้นเดียวจากจุดนี้ก็จะถึงจุดสำคัญที่ผู้เขียนคิดว่าน่าจะเป็นจุดพร้อมที่จะระเบิดความโลภทำให้อยากซื้อสินค้าของเขา

              เขาพามาชมหินควอร์ซแท่งมหึมาแล้วชี้ตำแหน่งคุณภาพของหินควอร์ทซว่า ส่วนที่เป็นปลายยอดของแท่งหินซึ่งมีสีขาวบริสุทธิ์ คือส่วนที่ดีที่สุดที่เขาจะเอามาเจียระไนให้เป็นหินควอร์ทซเจียระไนที่งดงาม หลังจากนั้นก็พาไปชมร้านจำหน่ายสินค้าเช่นสร้อยคอหินควอร์ทซเจียระไนเกรดต่างๆ  ซึ่งดูงดงามเป็นประกายจับตามาก

           จากนั้นเขาก็ทิ้งไพ่ใบสุดท้ายคือให้ชมสร้อยคอ ซุปเปอร์เกรด ที่สร้างความฮือฮาจนความโลภแล่นขึ้นใบหน้า เขาก็รีบเสนอราคาพิเศษให้ ทั้งลดทั้งแถม  เราก็เลยตกเป็นเหยื่ออย่างเต็มใจ ควักเงินซื้อคนละหมื่น สองหมื่นเยน รวมกันทั้งคณะก็ไม่ต่ำกว่าแสนเยน  ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ ปลอกหมอนและผ้าปูที่นอน ที่ใส่ผงหินสีดำ (โทมารีน) ไว้ข้างในเนื่องจากโทมารีนมีพลังแม่เหล็กสะสมอยู่มาก ถ้าเราได้นอนบนปลอกหมอนและผ้าปูชนิดนี้จะช่วยบรรเทาโรคต่างๆ ได้ดี เป็นผลดีต่อสุขภาพ ราคาที่เสนอก็ไม่แพงถ้าเทียบกับที่เขานำมาขายในเมืองไทยผืนละเป็นหมื่นบาท แต่ที่นี่ผืนละ พันกว่าบาท และแน่ใจได้ว่าได้ของแท้จากญี่ปุ่นด้วย

              เราเพลิดเพลินกับการซื้อสินค้าจนได้เวลาออกเดินทางไปภูเขาไฟฟูจิ พอขึ้นรถ ความสนใจของเราก็กลับมาที่ภูเขาฟูจิตามเดิม  ไม่นานนักเราก็ขึ้นมาอยู่ในระดับชั้นที่ 4

 

            จุดนี้เป็นจุดชมวิวที่สวยงามมาก ด้านหนึ่งติดเขาสามารถแหงนหน้ามองเห็นยอดภูเขาฟูจิชัดเจน ส่วนอีกด้านหนึ่งมองเห็นแนวเทือกเขาที่นิยมเรียกว่า เทือกเขาแอลป์  เพราะลักษณะคล้ายเทือกเขาแอลป์ในยุโรป  

 

           จุดชมวิวชั้นที่ 4 นี้ อากาศหนาวจับใจจริงๆ ครับ  หิมะยังจับตัวเป็นก้อนกองอยู่ตามพื้นทั่วไปทำให้ทัศนียภาพดูงดงามไปอีกแบบ  เราถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันอย่างจุใจ หลายคนถึงกับบอกว่า การเดินทางมาสัมผัสภูเขาไฟฟูจิครั้งนี้นับว่าคุ้มค่าจริงๆ หากมาญี่ปุ่นแล้วไม่ได้ดูจะรู้สึกเสียดายมาก เพราะนี่คือสุดยอดธรรมชาติอันงดงามยิ่งของญี่ปุ่นครับ 

 (19 มีนาคม 2548)

 

หมายเลขบันทึก: 125076เขียนเมื่อ 4 กันยายน 2007 21:29 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 มิถุนายน 2012 21:59 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (14)

สวัสดีค่ะ

 เที่ยวญี่ปุ่นสนุกจัง นำภาพมาประกอบด้วยนะคะ

ขอบคุณค่ะ

คุณ ตันติราพันธ์ ครับ

           สารภาพตรงๆ ว่าผมมีปัญหานำภาพหลายๆ ภาพลงบล็อกครับ พอนำภาพที่ 3 ลงทีไร ภาพที่ 2 ก็หายไปทุกทีเวลาคลิกแก้ไขบันทึกครับ ขอคำปรึกษาคุณหน่อยเถิดครับว่ามีเทคนิคนำภาพหลายๆ ภาพลงอย่างไร ขนาดไหน ผมบล็อกเกอร์มือใหม่ครับ เทคโนโลยีอ่อนหัดครับ

       

คุณกรเพชรคะ

   กรุณาถามอาจารย์ขจิตเถอะคะ ดิฉันก็ไม่รู้พอๆกัน จะได้ตามไปศึกษาด้วยค่ะ

  • สวัสดีค่ะ
  • น่าไปเที่ยวมากเลย
  • จะมีบุญได้ไปมั๊ยน๊า.....
  • ตามมาบอกครับ
  • คุณ
  • เธอไปตามมาพอดียุ่งๆๆนะครับ
  • อาจารย์ก็ไปที่แก้ไขบันทึกนะครับ
  • อันนี้หนึ่งหน้านะครับ
  • อาจารย์เปิดบันทึกใหม่อีกหนึ่งหน้า
  • ไปที่ที่ไฟล์อัลบั้ม
  • ไปกดที่ลิ้งที่อยู่ถาวร
  • Copy รูปมาลงที่บันทึก
  • เช่น

  • รูปอาจารย์ควรประมาณ 400x300pix ก็ดีครับ
  • จะได้ไม่ใหญ่เกิน
  • กลับไปที่หน้าที่เปิดไฟล์อัลบัม
  • อีก
  • กดลิ้งที่อยู่ถาวรรูปที่อาจารย์อยากได้เช่น

 

 

เช่น

 

ถ้ารูปใหญ่เกินก็ คลิกที่ภาพ แล้วจะเกิดสี่เหลี่ยม

ย่อขยายตามที่อาจารย์ต้องการ

กดบันทึกเลย

ลองทำดูนะครับ

คุณตันติราพันธ์ ครับ

          ขอบคุณมากครับที่แนะนำอาจารย์ขจิต ท่านตอบมาแล้ว ดีใจมากครับ

คุณ nokky ครับ

             ๐ สวัสดีครับ

              ๐ คอยติดตามอ่านต่อไปเรื่อยๆ นะครับ

              ๐ มีสิครับ  ผมเองก็ไม่คาดคิดว่าจะได้ไป แต่ในที่สุดก็มีโอกาส + พยายามนิดหน่อย + เงินไม่มากครับ  ได้ไปแน่

              

 

คุณ nokky ครับ

             ๐ สวัสดีครับ

              ๐ คอยติดตามอ่านต่อไปเรื่อยๆ นะครับ

              ๐ มีสิครับ  ผมเองก็ไม่คาดคิดว่าจะได้ไป แต่ในที่สุดก็มีโอกาส + พยายามนิดหน่อย + เงินไม่มากครับ  ได้ไปแน่

              

 

คุณ nokky ครับ

             ๐ สวัสดีครับ

              ๐ คอยติดตามอ่านต่อไปเรื่อยๆ นะครับ

              ๐ มีสิครับ  ผมเองก็ไม่คาดคิดว่าจะได้ไป แต่ในที่สุดก็มีโอกาส + พยายามนิดหน่อย + เงินไม่มากครับ  ได้ไปแน่

              

 

สวัสดีครับคุณขจิต

           ผมขอบคุณมากครับที่แนะนำวิธีการ ผมจะรีบไปทำตามครับ ถ้าขัดข้องผมจะขอคำแนะนำต่อครับ เพราะว่ายังไม่คล่องตัวเรื่องเทคนิคพวกนี้จริงๆ ครับ

  • ตามมาอ่านต่อแล้วคะรูปสวยมากคะ
  • อากาศสดใสมากคะ
  • เคยไปฟูจิช่วงเดือนกันยาคะ...ไม่มีหิมะแบบนี้...แต่ก็สวยคนละแบบ...ช่วงนั้นได้ทานปูอลาสก้าด้วยคะ
  • แล้วจะรออ่านเรื่อง ส้วมของอาจารย์นะคะ

คุณ naree ครับ

           ๐ผมจัดการเรื่องรูปได้แล้วครับ ต้องขอบคุณ คุณขจิตมากครับ และคุณตันติราพันธ์ด้วยครับ

           ๐ ฟูจิยามาเดือนมีนาคมสวยแบบหนึ่ง แต่ที่โชคดีก็เพราะเฉพาะวันนี้ อากาศดี ท้องฟ้าไร้เมฆงามใสไม่มีที่ติครับ ปีหนึ่งจะมีเพียงไม่กี่วันที่ได้เห็นแบบนี้ครับ

           ๐ เรื่องส้วมเขียนต่อให้แล้วนะครับ

        

สวัสดีค่ะอาจารย์

อาจารย์ถ่ายรูปได้เท่มากเลยค่ะ

ภูเขาฟูจิเป็นภูเขาที่ยังไม่ดับอาจารย์ไม่กลัวว่ามันจะประทุขึ้นมาอีกเหรอค่ะ  วิวสวยงามมากทีเดียวอาจารย์ไม่คิดจะจัดพานักศึกษาเที่ยวบางเหรอค่ะ

                                          ขอคุณอาจารย์มากค่ะ

                                                  นูรมา สแลแม

คุณ นูรมา สแลแม

            ขอบคุณที่ชมครับ (ตอนนี้ความเท่ลดน้อยลงไปเยอะเลย)

             แม้ฟูจิยามายังไม่ดับ แต่เขามีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลอยู่ หากมีสัญญาณอะไรเขาก็เตรียมการได้ทันการณ์ครับ 

             ก็คิดอยากพานักศึกษาไปเที่ยวเหมือนกัน แต่ขาดแคลนปัจจัย ถ้าหากคุณมีเงินสัก 4-5 หมื่น น่าจะพอพาไปได้ครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท