สวัสดีทุกท่านอย่างเป็นทางการ
สำหรับรายการงานมหกรรมการจัดการความรู้แห่งชาติในวันนี้
เนื่องจากทุกท่านมีสูจิบัตรเรียบร้อยแล้ว
จึงจะไม่ขอเรียนอ่านตามรายการ จะขอเน้นย้ำในจุดที่สำคัญๆ
ซึ่งคณะผู้จัดขอให้ย้ำมา คือในเรื่องของการประชุมทั้งสองวัน
วันนี้ในช่วงเช้าจะมีการประชุมร่วมกันในห้องนี้
มีการปาฐกถาพิเศษจากคุณหมอประเวศ พอช่วงพักรับประทานอาหารว่าง
จะมีการแยกกันไปเพื่อที่จะชมนิทรรศการหรือจะไปร่วมในส่วนของคลินิกให้คำปรึกษา
ซึ่งจะมี 3 ส่วนได้แก่ Weblog KM Thesis และ Faci.
Service
ซึ่งแต่ละท่านมีชื่ออยู่แล้วว่าจะเข้าอยู่ที่กลุ่มไหนแยกกันไปตามห้องย่อยต่างๆ
เราจะไม่พบกันอีกจนกระทั่งถึงวันพรุ่งนี้
วันพรุ่งนี้จะมาพบกันอีกครั้งในห้องใหญ่นี้เวลา 16.15 น.ถึงเวลา 17.00
น.
ซึ่งจะเป็นการกล่าวสรุปขุมความรู้ทั้งหมดของสองวันที่ได้ทำร่วมกันมา
ซึ่งเป็นสิ่งที่พลาดไม่ได้ สำหรับในวันที่ 2 นั้น
ในเรื่องของคลินิกให้คำปรึกษา มีอยู่ 2 รอบในวันพรุ่งนี้รอบแรก
เป็นรอบพิเศษเพิ่มมาอีกช่วง 8.00-8.45 น.
เป็นคลินิกซึ่งยังคงจัดที่ห้องมาร์สที่ชั้น 3 เหมือนเดิม นอกจากนี้
จะมีพิเศษอีกหนึ่งช่วง คือ เรื่องของ morning talk ซึ่งดร.ประพนธ์
ผาสุขยืด จะเป็นผู้มาคุยกันตอนเช้าที่ห้อง Grand B
ผู้ที่สนใจขอเชิญเข้าร่วมฟังได้
และคลินิกให้คำปรึกษานั้นยังมีอีกรอบหนึ่งในเวลา 15.30 น. ถึงเวลา
16.15 น. ดังนั้นคลินิกให้คำปรึกษาจะมี 3 รอบด้วยกันทั้งหมดระหว่าง 2
วัน วันนี้ 1 รอบวันพรุ่งนี้ 2 รอบ
ท่านที่สนใจจะเข้าร่วมในการพูดคุยกลุ่มย่อยนั้นก็ไปตามกลุ่มของท่าน
ซึ่งท่านจะต้องติดตามกลุ่มของท่านจากวันนี้ไปถึงวันพรุ่งนี้ด้วย
จะไม่มีการมาพบกันอีกจนกว่าจะถึงเวลา 16.15 น.ในวันพรุ่งนี้
หลังจากวันนี้แล้ว หวังว่าทุกท่านคงเข้าใจ หากมีปัญหาประการใด
ขอให้ถามเจ้าหน้าที่ของ สคส.ที่ห้อยป้ายสีขาวอยู่ด้านหน้าห้อง
สิ่งที่คณะผู้จัดงานเน้นอีกเรื่องคือเรื่องของแบบสอบถามที่ทุกท่านได้รับ
ขอความกรุณาตอบแบบสอบถาม
แล้วนำไปหย่อนไว้ที่กล่องเหลืองที่บริเวณขายหนังสือ
ในวันนี้ขอแจ้งสั้นๆ และ ขอนำท่านเข้าสู่การชมวีดีทัศน์
ซึ่งจะเป็นการนำเสนอเรื่องคุณค่าและมูลค่าแห่งปัญญาปฏิบัติ
สาระสำคัญของวีดีทัศน์ เรื่อง คุณค่าและมูลค่าแห่งปัญญาปฏิบัติ
วีดีทัศน์เรื่อง คุณค่าและมูลค่าแห่งปัญญาปฏิบัติ
จัดทำโดยสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม มีความยาวประมาณ 24
นาที
เป็นการรวบรวมกรณีศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับการนำแนวคิดการจัดการความรู้ที่เชื่อถือว่าความรู้มีอยู่ในผู้ปฏิบัติ
และทำให้เกิดผลได้จริง นำไปสู่การพัฒนาบุคคล กลุ่ม องค์กร
ที่ตั้งอยู่บนฐานของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยในกรณีศึกษาที่ 1
เป็นการนำเสนอบทเรียนการจัดการความรู้จากขบวนการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิจิตร
ที่นำเอาการจัดการความรู้เขาไปผูกโยงกับการพัฒนาท้องถิ่น
โดยภาคประชาสังคม เชื่อมโยงกับเครือข่ายภาครัฐ
ทั้งราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรณีศึกษาที่ 2
เป็นการนำการจัดการความรู้ไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพของการให้บริการในโรงพยาบาลบ้านตาก
กรณีศึกษาที่ 1 บทเรียนการจัดการความรู้ที่พิจิตร
6 ปีก่อน
กระบวนการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิจิตรเริ่มขึ้นจากความรู้ชุดเดิมและเลือด
โดยคุณลำไย บัวดี (นักวิชาการสาธารณสุข อำเภอโพธิ์ประทับช้าง
/ที่ปรึกษาเครือข่ายเกษตรปลอดสารพิษ) และคุณสุรเดช เดชคุ้มวงศ์
เลขานุการมูลนิธิร่วมพัฒนาพิจิตร ได้เล่าให้ฟังว่า
“ตอนนั้นมีปัญหาเรื่องเกษตกรมีสารเคมีตกค้างในเลือดเยอะ”
“ป่วย เพราะว่าสารเคมีจากภาคการเกษตร ในอัตรา 70 ต่อประชากร 100,000
คน อยู่ในอันดับ 5 ของประเทศ”
“เวลาเจ้าหน้าที่สถานีอนามัยเจาะเลือดก็จะแค่แนะนำเขาว่า ลุง ป้า
ให้หยุดใช้สารเคมีนะ”
“บอกเขาว่า ป่วยนะ เสี่ยงนะ แล้วก็ให้สุขศึกษา ถามว่า
แก้ปัญหาอย่างนี้มานาน ด้วยความรู้ชุดอย่างนี้ แก้ปัญหาได้มั้ย
มันทำมานานแล้วแต่แก้ไม่ตก”
ความรู้เดิมที่เรามีเชื่อมโยงเกษตรเคมีเข้ากับการผลิตเพื่อตลาด
ภายใต้แผนพัฒนาที่ส่งเสริมการผลิตที่ปลูกพืชเชิงเดี่ยว
หลายสิบปีในอู่ข้าวอู่น้ำแห่งนี้ สารเคมีทั้งในรูปปุ๋ย ยาฆ่าแมลง
และสารกำจัดศัตรูพืชถูกอัดลงไปในดิน ไหลลงไปในแหล่งน้ำ
ซึมซ่านอยู่ในเนื้อของผลผลิตที่กลายมาเป็นอาหารเลี้ยงคนทั่วไป
เป็นหลายสิบปี
ที่วงจรเลวร้ายหมุนเวียนก่อผลเป็นสิ่งแวดล้อม
ธรรมชาติเสื่อมโทรมเป็นพิษ
สุขภาพของทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตเสื่อมทรุดและยังก่อให้เกิดหนี้สินของเกษตรกร
ถมทับเป็นกองทุกข์ สั่งสม โยงใย เป็นปัญหายาก
แก้ไม่ได้ด้วยวิธีคิดแบบแยกส่วน
หัวขบวนของการพัฒนาคือ ทีมสาธารณสุขในพื้นที่
เริ่มขบวนใหม่ด้วยการรวมกลุ่มแล้วพากันไปเรียนรู้จากอีสาน
ดังที่คุณสุรเดชเล่าว่า
“ก็มีบรรดาผู้นำปราชญ์ชาวบ้านที่มีจิตวิญญาณ
มีชุดความรู้ชัดเจนก็สามารถตอบโจทย์สุขภาพ สิ่งแวดล้อม ความยากจนได้
พออยู่พอกินได้ โดยเฉพาะเขามีเครื่องมือ เขามีโรงเรียนที่เรียกว่า
วปอ. ได้วิธีคิดความรู้ใหม่ทางภาคอีสานเขามา
เราคว้าความรู้เขามา แต่เราไม่ได้ลอกเลียนแบบเขามา
แต่เราเอาวิธีคิดเขามา”
ในมุมของการจัดการความรู้
นี่คือการเริ่มต้นจากด้านบวกท่ามกลางปัญหาใหญ่โตซับซ้อน
ชุมชนยังคงมีพลังด้านดีที่สั่งสมอยู่ในรูปภูมิปัญญาพื้นบ้าน
เป็นฐานทุนที่สามารถนำมาใช้เป็นจุดเริ่ม
ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้
ทีมพัฒนาพิจิตรกลับมาค้นหาความรู้จริงที่แฝงฝังอยู่ในตัวคน
ค้นพบภูมิปัญญาชาวบ้าน ชักชวนมาเป็นวิทยากร
เพื่อขับเคลื่อนกระบวนการเรียนรู้ของชาวพิจิตร ดังตัวอย่างของลุงจวน
และลุงณรงค์
ลุงจวนเป็นปราชญ์ชาวบ้านคนหนึ่งที่เป็นต้นแบบของวิถีเกษตรแบบผสมผสานในพื้นที่เพียง
6 งาน ลุงจวนและภรรยา สามารถหาอยู่หากินได้อย่างพอเพียง ไม่มีหนึ้สิน
ลุงจวนเล่าให้ฟังว่า
“เมื่อก่อนนี้ ที่อยู่สิงห์บุรีบ้านเกิด เป็นหนี้
เป็นหนี้ตั้งหกหมื่นแต่พอมาทำเกษตรพออยู่พอกิน
ตรงนี้มันมีความสุข มีความสุขที่เราไม่เป็นหนี้เขา”
ลุงณรงค์ก็เป็นอีกหนึ่งในวิทยากรรุ่นแรก
ที่เรียนรู้ทั้งสองวิธีการเกษตรด้วยประสบการณ์ชีวิต
ก่อนหน้านี้ลุงณรงค์ เคยป่วยเข้าโรงพยาบาลเพราะน็อคจากการใช้สารเคมี
ลุงเล่าให้ฟังว่า
“ระหว่างนอนป่วย นอนคิดว่าสารเคมีนี่ถ้าขืนทำไปฉันตายแน่
สมัยที่ใช้สารเคมี ระหว่างนั่งเก็บพุทรา นกปรอดร่วงมาตาย
แล้วพุทรานี้ก็ไม่ได้ไปไหนเลยก็ขายให้ในชุมชน เด็กโรงเรียน
สองโรงเรียนมัธยมซึ่งประมาณเกือบพันคนซื้อพุทราผมกินแต่ละวัน
ทำให้เรานึกถึงบาปบุญคุณโทษ ก็พอเราหาทางวิธีการปลอดสารได้
สามารถทำให้เราหนึ่งชีวิต สอง ชีวิตเราชีวิตคนอื่น”
หลังจากเปลี่ยนวิธีคิดลุงณรงค์ก็ทุ่มเทให้กับการเรียนรู้
เปิดรับความคิดใหม่เดินทางออกไปศึกษาดูงานและทดลองด้วยตนเอง
สร้างสูตรผสมและวิธีการใหม่ๆ
เกิดนวัตกรรมกลายเป็นต้นแบบที่สร้างแรงบันดาลใจให้เพื่อนเกษตรกรคนอื่นๆ
เรื่องการเรียนรู้ที่ไม่เคยหยุด
ดังเช่นความรู้ที่ลุงถ่ายทอดให้สมาชิกฟัง
เรื่องการทำปุ๋ยหมักชีวภาพตอนหนึ่งว่า
“ความชื้นไม่พอ ความชื้นพอมันต้องปั้นก้อนได้
แล้วบีบไม่ให้น้ำออก ขบวนการหมักจึงจะได้ผล 100
เปอร์เซนต์”
เป็นสาระความคิดที่ได้จากการเรียนรู้ด้วยตนเอง
จึงเป็นจริงและบันดาลใจเมื่อถ่ายทอดออกมาเป็นบทเรียนชีวิต
เป็นหนึ่งในมรรควิธีที่เสนอให้กับเพื่อนเกษตรกรผู้มาเรียนรู้ในโรงเรียน
วปอ.(วิทยากรการเปลี่ยนแปลงสู่การพึ่งตนเองและการพึ่งพากันเอง)
ซึ่งคุณสุรเดช และคุณลำไย เล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า
“ถามว่าโรงเรียนนี้สอนอะไร ก็จะใช้หลัก อริยสัจ 4
เป็นตัวเดินเรื่อง มาวันแรกแรกต้องถามก่อนว่ามีหนี้เท่าไหร่
แล้วรวมกันทั้งรุ่นเป็นเท่าไหร่
ปัญหาที่สองเหตุแห่งทุกข์คืออะไรเขาก็จะช่วยกันหาทางออก
วิเคราะห์กันว่ามีสาเหตุจากอะไรให้ทุกคนช่วยตั้งเป้าหมายชีวิต ว่า
อยากให้ชีวิตเราเป็นอย่างไร จะแก้อย่างไร เราก็ไปเรียนรู้จากคุณครู
ไปที่บ้านเขาเลยไปนอนที่บ้านเขาไปกินที่บ้านเขา
เพราะว่าสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น
การเรียนรู้สมัยใหม่มันต้องสัมผัสด้วยอารมณ์ ด้วยความรู้สึก
เหมือนใจกระทบใจ”
“เป็นเหมือนการรวบรวมความรู้ที่มีอยู่ในคน ที่เป็นเรื่องที่ดี
เอามาเล่าให้อีกคนหนึ่งฟังเอามาใช้ได้มันเป็นรูปธรรมเลย
มันไม่ใช่ต้องอ่านเป็นวิชาการแล้วมาถอดออกเป็นรูปธรรม
เป็นเรื่องเล่าที่เกิดจากความสำเร็จของเขาอยู่แล้วเอามาใช้ได้เลย”
“จากนั้นมา ปัจจุบันนี้ก็มา 11 รุ่นแล้วเราสร้างผู้นำเข้าไปประมาณ 300
กว่าคน เข้าไปในกลุ่มเกษตรกร เพราะฉะนั้นคนเหล่านี้
ก็จะไปนำการเปลี่ยนแปลง
ก็คือคนเหล่านี้จะเข้าไปทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ทางปัญญา”
กระบวนการเรียนรู้ทางปัญญาที่กล่าวนั้น
ประกอบไปด้วยการเรียนรู้สองส่วนคือ
1. เรียนรู้จากตัวอย่างเชิงบวก
2. สร้างฐานเครือข่ายเชื่อมโยงเพื่อรองรับกระบวนการเรียนรู้
ดังนี้ขบวนการเกษตรธรรมชาติที่พิจิตร
จึงขยายตัวกว้างออกไปโดยมีวิทยากรที่ผ่านโรงเรียน วปอ.
เป็นกลไกหลักผลักดันให้กลุ่มเกษตรกรร่วมกันเรียนรู้พร้อมไปกับการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ๆทางด้านเทคนิคการเกษตรและการบริหารจัดการ
เสริมแรง เสริมกำลังใจ
อย่างกลุ่มผักที่ฝ่าฟันปัญหาและอุปสรรคร่วมกันมากว่า 2 ปี
ถึงเวลานี้ เมื่อผลการตรวจเลือดออกมา
จึงได้เห็นรอยยิ้มของสมาชิกกลุ่ม
ดังที่ผู้คนที่เกี่ยวข้องได้สะท้อนว่า
“จริงๆ แล้วอยากให้กลุ่มเขารู้ว่าที่เขาทำตรงนี้
สุขภาพเขาดีขึ้นนะ ผลเลือดที่เคยเสี่ยงตอนนี้ ปลอดภัยแล้วนะ”
“ใช่ มันต้องเกิดทุกข์ก่อน คนเราถึงจะเปลี่ยนได้
ธรรมะของพระพุทธเจ้าเองก็เป็นหลักของธรรมชาติ
ธรรมชาติอาศัยธรรมชาติเข้ามาช่วยโดยตรงถ้าทำไปในสิ่งที่เราทำได้
ไม่ใช่จะหวังอะไรแล้วกู้เงินกู้ทองเขามามันเป็นทุกข์
วิธีคิดต้องเปลี่ยนอย่างนี้ถึงจะมาทำตรงนี้ได้”
นอกจากนำเรื่องการเรียนรู้มาใช้เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของปัจเจกแล้ว
ยังนำการเรียนรู้ไปช่วยพัฒนาระบบการจัดการของกลุ่มด้วย เช่น
สมาชิกกลุ่มผักมาหารือกัน เรื่องระบบจัดการการตลาดกว่า 30
ครัวเรือนตกลงแบ่งกันปลูกผักให้หลากหลายไม่ซ้ำซ้อน
เพื่อให้ได้ผลผลิตหลากชนิดสอดคล้องกับความต้องการของตลาด
ดูแลอย่างใส่ใจจนโตใหญ่ ตัด เก็บ ล้าง มัด มีสมาชิกอาสามารับ
แล้วนำมาสุ่มตรวจสารเคมีตกค้าง
โดยทีมสาธารณสุขท้องถิ่นก่อนจัดส่งเข้าสู่ตลาด
ด้วยระบบจัดการแบบนี้
ผักปลอดสารเคมีมีพิษที่เจริญเติบโตมาได้ ด้วยความเอื้ออาทร
ของดิน น้ำ ฟ้าและจิตใจที่เอื้ออารีของสมาชิกกลุ่มเกษตรธรรมชาติ
จึงมีมาวางขายหน้ามูลนิธิร่วมพัฒนาพิจิตร
ให้ผู้บริโภคชาวเมืองเลือกซื้อไปประกอบอาหารปลอดภัยได้เป็นประจำทุกสัปดาห์
คือเส้นทางเดินของผักปลอดภัยคู่ขนานกันไปกับการขยายตัวเติบใหญ่ขึ้นของขบวนการเกษตรธรรมชาติพิจิตร
อย่างไรก็ตาม
การเดินทางดังกล่าวได้มาจนถึงระดับที่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเพื่อพัฒนาต่อ
เพื่อยกระดับการเรียนรู้ ดังที่ คุณลำไย และคุณสุรเดช
เล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นว่า
“หลังจากที่ทำมาพอหมดงบประมาณของ สสส. ไป
ก็ค่อนข้างที่จะแผ่วไปช่วงหนึ่ง
เพราะว่าแกนนำหลายคนเริ่มล้า”
“จุดอ่อนก็คือว่า มันก็จะทำไปเรื่อยๆ
มันไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าเป้าหมายคืออะไร เราไม่มี
เครื่องมือมาประเมินตัวเองว่าเราขาดอะไร”
“จนพี่สุรเดชไปเจอกับอาจารย์หมอวิจารณ์ ว่าลองมาทำ KM (จัดการความรู้)
กันไหม?”
“ที่เราทำมาก่อนหน้านี้น่ะ คือกระบวนการจัดการความรู้
แต่เป็นการจัดการแบบธรรมชาติแต่เมื่อเรามาเรียนรู้กับคุณหมอวิจารณ์
เรารู้ว่า วิธีคิดน่าจะเป็นแบบนี้ กระบวนการน่าจะเป็นแบบนี้
เครื่องมือน่าจะเป็นแบบนี้”
ธารปัญญา (river diagram) ตารางแห่งอิสรภาพ
และขั้นบันไดแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (ladder diagram)
กลายเป็นเครื่องมือที่ สคส. นำลงมาแล้วใช้ได้ผลทันทีที่พิจิตร
ที่ว่างในตารางซึ่งเคยบรรจุความหมายเชิงนามธรรม
ถูกแทนที่ด้วยเกณฑ์รูปธรรม ที่เหล่าผู้ปฏิบัติร่วมกันกำหนด
จากเป้าหมายความสำเร็จที่ถูกนำมาทบทวน จนเห็นเป็นภาพชัดร่วม
เห็นสถานะทางปัญญาที่เป็นอยู่ เห็นทั้งตัวเองและเห็นทั่วทั้งขบวน
ดังภาพสะท้อนจากคำบอกเล่าของผู้ร่วมคิดร่วมทำ
“มันเป็นระบบขึ้นเป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้นเพราะว่า
เกณฑ์ที่เรามาใช้กับกลุ่มต่างๆเป็นเรื่องชาวบ้านคิดขึ้นเอง”
“พอได้เครื่องมือนี้มาเราสามารถเรียนรู้ได้ว่า ใครเก่งกว่าเรา
เราควรจะเรียนรู้จากใคร ก็ประเมินตนเองได้
นี่คือความพิเศษของการจัดการความรู้”
คุณสุรเดช ได้กล่าวเสริมถึง
คุณค่าของการนำการจัดการความรู้มาใช้ว่า
“อีกตัวที่เราได้มา
คือการรวมตัวกันเป็นกลุ่มชนที่เรียกว่าชุมชนนักปฏิบัติ
ต่อยอดความรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้
สร้างความรู้ใหม่
ยกระดับความรู้
และนำความรู้ที่ได้ย้อนกลับมาให้กลุ่มเกษตรกร
ซึ่งทั้งหมดนี้หลังจากที่เราได้เรียนรู้จากหมอวิจารณ์
กลุ่มเกษตรกรเราก็มาคิดกันว่าน่าจะเป็นแบบนั้น
ทุกกลุ่มก็กำลังเริ่มขับเคลื่อนแล้ว”
คือการผนวกการจัดการความรู้เข้าไปในกระบวนการทำงาน
กลมกลืนเข้าไปเป็นเนื้อเดียวเหมือนกระแสเลือดที่สูบฉีดไปทั่วร่าง
นำพาพลังความรู้ พลังปัญญา ไหลเวียนเชื่อมโยงไปทั้งขบวน
ก่อให้เกิดพลังแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ขึ้นในแต่ละหน่วย
หนุนเสริมให้ขบวนการร่วมพัฒนาพิจิตรขับเคลื่อนงานต่อไปได้อย่างสร้างสรรค์และมีชีวิตชีวา
19 กันยายน 2548
มีการประชุมใหญ่ในระดับจังหวัดเพื่อนำความรู้ของเครือข่ายร่วมพัฒนาพิจิตรมาขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ
มีหลากหลายภาคีเข้าร่วมในการพัฒนาครั้งนี้ จากภาครัฐมาจนครบ 4
กระทรวงหลัก รวมถึงองค์การปกครองท้องถิ่น ทั้ง อบจ. อบต.
และเทศบาล มาในบทบาทของคุณเอื้อ เพื่อช่วยกันมองทิศทางใหญ่
ในขณะที่ผู้ปฏิบัติงานของหน่วยงาน เช่น การศึกษานอกโรงเรียน
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร อื่นๆ
มาร่วมด้วยในบทบาทของคุณอำนวย ช่วยหนุน ช่วยเสริม
บางคนมาเป็นคุณลิขิตช่วยจดช่วยบันทึก
สังเกตการณ์และร่วมเรียนรู้อยู่ในวงคุยของบรรดาคุณกิจที่ซึ่งความรู้แฝงฝังภายในตัวปราชญ์ชาวบ้านถูกดึงออกมาสื่อสาร
แลกเปลี่ยนเรียนรู้
สรุปเป็นบทเรียนสังเคราะห์เป็นข้อเสนอและนำมาบูรณาการเข้าด้วยกันในที่ประชุมใหญ่
เป็นทิศทางและแผนการดำเนินงานต่อไป
เพื่อสร้างพิจิตรให้เป็นเมืองปลอดภัยด้วยพลังความร่วมมือและพลังปัญญาของคนพิจิตรเอง
คุณสุรเดช
ได้สรุปบทเรียนที่ชี้ให้เห็นถึงสถานะปัจจุบันของการทำงานได้อย่างน่าสนใจว่า...
“ตอนนี้ก็เข้าไปทฤษฎี ของอาจารย์หมอประเวศแล้ว สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา
ต้องมีฐานความรู้ปัญญา ฐานทางสังคม ฐานทางการเมือง
นโยบายและสามอย่างนี้ไปไม่ได้ถ้าไม่มีการจัดการร่วมกัน
ฉะนั้นขบวนการทางปัญญาถือว่าสำคัญที่สุด การจัดการความรู้
คือเครื่องมือ สร้างขบวนการทางปัญญา
ตรงนี้ที่จะทำให้สังคมเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้
การเมืองก็เป็นการเมืองที่พร้อมที่จะเรียนรู้เพื่อตอบโจทย์นโยบายสาธารณะ
แล้วก็เป็นการตอบโจทย์ที่เป็นการร่วมกันของทุกฝ่าย ทำอย่างนี้จะไปได้
เรื่องยากๆ มันจะแก้ได้ เรามีความเชื่ออย่างนั้น”
กรณีที่ 2 บทเรียนจากโรงพยาบาลบ้านตาก
เรียนรู้จากประสบการณ์เชิงบวกโรงพยาบาลบ้านตาก อ.บ้านตาก
จ.ตาก
โรงพยาบาล คือ
ตัวอย่างหนึ่งของระบบซับซ้อนเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายหลักเพียงข้อเดียวคือการจัดบริการสุขภาพที่ดีที่สุดแก่ชุมชน
ต้องมีหลายกระบวนการ
โดยผู้ปฏิบัติงานหลายคนดำเนินการคู่ขนานกันไป
โดยทั่วไปโรงพยาบาลจึงมักจะมีระบบการบริหารจัดการที่ซับซ้อนและสับสน
ผิดกับที่โรงพยาบาลบ้านตาก บรรยากาศยามเช้า สบายๆ
เช่นนี้มีให้เห็นมาเกือบ 2 ปีแล้ว บริการส่วนหน้า
รองรับคนไข้นอกเป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็ว
นับตั้งแต่มีการนำเครื่องมือธรรมดาๆ ที่เรียกว่า Hospital OS มาใช้
ดังที่บุคลากรได้สะท้อนให้ฟังว่า
“ปกติเราจะประกันเวลาไว้ จากเดิม 10
นาทีตอนนี้คือทำบัตรใหม่บัตรเก่าไม่เกิน 5 นาที”
“เวลามากขึ้นทำงานได้เพิ่มขึ้น พอทีมซักประวัติเสร็จ
เราก็สามารถจะเข้าไปให้ความรู้คนไข้ได้
อย่างเช่นเราจัดตะกร้าการเรียนรู้”
“ประหยัดเวลาในการรักษาและลงบันทึก
พอลงบันทึกเสร็จเราสามารถที่จะสื่อสารกับทุกคนที่อยู่ต่างแผนกก็ได้”
“ทำให้เราสามารถจัดเตรียมอุปกรณ์ เตรียมคน เตรียมของ
ได้พร้อมก่อนที่คนไข้จะเข้ามา”
“ทำให้เราทำงานสะดวกมากขึ้น รวดเร็วขึ้น และคุณภาพดีขึ้น”
โปรแกรมนี้แจกฟรีให้กับโรงพยาบาลทั่วประเทศเหมือนๆ กัน
แต่เมื่อมาถึงที่นี่กลับกลายเป็นเครื่องมือชั้นดีเยี่ยมขึ้นมาได้
เพราะคนทำงานที่นี้เข้าใจว่าเครื่องมือคือสิ่งที่ต้องนำมาประยุกต์และปรับใช้ในการทำงานจริง
คือสิ่งที่ต้องพัฒนาและเรียนรู้ไปพร้อมๆกัน
โดยบุคลากรที่เป็นทั้งคนปรับปรุงและคนใช้งานได้เล่าว่า
“ต้องมาเรียนรู้กันเกือบๆเป็นปี พยายามแกะตัวโปรแกรมช่วยกัน”
“จุดที่มี OS ใช้ก็ต้องสรุปไปว่ามีปัญหาอย่างหอผู้ป่วยพี่
ใช้แล้วมีปัญหาอะไรบ้าง”
“ทุกอย่างต้องมีปัญหา แต่พอเราแก้ไขไป
มันเหมือนเป็นการเรียนรู้ร่วมกันเรารู้จักโปรแกรมมากขึ้น”
“หลายๆส่วนใครรู้ส่วนไหนก็มาคุยกัน”
“กว่าจะมาคงตัวอย่างนี้คุยกันตลอด
เราสามารถที่จะเรียนรู้โปรแกรมได้มากกว่าที่เขาให้มาและมีการดัดแปลงประยุกต์ใช้กับโรงพยาบาลเราได้”
นี่คือฐานทุนสำคัญที่โรงพยาบาลบ้านตากมี
เป็นระบบการทำงานที่ประกอบด้วยคนที่เห็นคุณค่าและอยู่ในวิถีของการเรียนรู้ที่เคลื่อนไหวไม่เคยหยุด
ดังที่ผู้อำนวยการ คือ นพ.พิเชฐ บัญญัติ
เล่าถึงการพัฒนาบุคลากรเหล่านี้ว่า
“ต้องกระตุ้นให้ทุกคนเห็นเสมอว่า สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
เทคโนโลยีในด้านการรักษา การดูแลผู้ป่วยและ
ความต้องการของพี่น้องประชาชนมีการปรับเปลี่ยนตลอด
นโยบายก็ปรับเปลี่ยน เราก็ต้องปรับตาม
กระตุ้นให้คนเรียนรู้ตลอดเวลาและไม่ยึดติด”
โรงพยาบาลบ้านตากเป็นโรงพยาบาลชุมชน
ที่มีการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพมาอย่างต่อเนื่อง
ผ่านการใช้เครื่องมือและกิจกรรมคุณภาพหลากหลายจนได้รับรางวัลต่างๆมากมาย
ส่วนสำคัญของผลสำเร็จนี้เกิดจากวิสัยทัศน์และภาวะการนำของผู้บริหาร
ดังที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกล่าวว่า
“ผมไม่ได้มองว่าการจัดการความรู้เป็นเรื่องใหม่ที่แยกออกมาจากงานเดิม
พอเราตั้งเป้าหมายว่าเราต้องการ 3 อย่าง คือประชาชนมีสุขภาพดี
เจ้าหน้าที่มีความสุขและโรงพยาบาลอยู่รอด ในฐานะของ CKO (chief
knowledge officer)หรือ CEO ก็ตาม
เราพยายามที่จะหาวิธีการอย่างไรให้ได้อย่างนี้
ก็คือไปหาความรู้เอามาใช้ นำมาพัฒนาก็คือการจัดการความรู้”
มีปรากฏการณ์พิเศษเกิดขึ้นที่นี่
เพราะนำวิธีคิดกิจกรรมและเครื่องมือพัฒนาคุณภาพหลากหลายมาปฏิบัติจริงเป็นประจำสม่ำเสมอจึงตกผลึกเป็นองค์ความรู้ใหม่
เกิดระบบเกิดโครงสร้างของการจัดการความรู้ขึ้นมารองรับ
สอดประสานอยู่ในวงจรการเรียนรู้และการพัฒนาคุณภาพ เกิดคน
เกิดบทบาทงานตามธรรมชาติ
กลายเป็นปริมณฑลแห่งการเรียนรู้ของผู้ปฏิบัติโดยมีคุณเอื้อ
คุณอำนวยคอยหนุนเสริม ดังที่คุณเกศราภรณ์ ภักดีวงศ์
หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมการเรียนรู้ เล่าว่า
“ก็คือเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ เหมือนตอนแรกเรามีกิจกรรมคุณภาพอยู่
ตรงนี้ช่วยคลุมและช่วยเขยื้อน ช่วยเขยื้อนในภาพใหญ่
คราวนี้หน้าที่ของเรา เมื่อเราวิเคราะห์ได้ เราก็มากระตุ้น
เวทีต้องต่อเนื่อง”
เพราะทุกที่ที่มีการทำงานย่อมเกิดทั้งปัญหาและความรู้ดีๆที่ใช้แก้
ทุกหน่วยในโรงพยาบาลจึงเป็นเวทีเรียนรู้ได้
อย่างกรณีเด็กเล็กหาเส้นแทงน้ำเกลือยาก
เดิมทีมีพยาบาลอาวุโสเพียงคนเดียวที่สามารถทำได้ (คุณศศิธร
ชัยมัง) วิธีคิดในการจัดการความรู้
เปลี่ยนความเชี่ยวชาญนี้ให้เป็นสิ่งดีๆ
ชวนพี่ศศิธรมาเป็นวิทยากรสอนน้องๆลงมือปฏิบัติ
ดังที่พยาบาลรุ่นน้องได้สะท้อนว่า
“สมัยก่อนมีคนเก่งในหน่วยงานเราคนหนึ่ง ก็จะเก่งอยู่คนเดียว
พอมี KM เข้ามา มันทำให้เป็นวัฒนธรรมของเราว่า
ถ้าเราเรียนรู้แล้วว่าทำอย่างนี้แล้วประสบความสำเร็จ
เราจะถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนทุกคนในหน่วยงานให้เก่งเหมือนเรา”
“มันจับความรู้สึกยาก พี่เขามาสอนทำให้เรามั่นใจ”
“เพราะฉะนั้นงานมันจะต้องดีขึ้นเพราะทุกคนเก่งเหมือนกันหมด
จริงไหม”
ในฐานะผู้แบ่งปันความรู้ ก็เกิดความรู้สึกทางบวก ดังที่คุณศศิธร
ซึ่งเป็นคุณอำนวย เล่าว่า
“รู้สึกดี เพราะน้องๆจะได้เกิดความมั่นใจ”
คือแง่งามของความรู้
เป็นผลลัพธ์จากการเรียนรู้การทำสิ่งดีๆร่วมกันได้ทั้งความรู้
ได้ทั้งใจเป็นคุณค่าสูงสุดที่กัลยาณมิตร
มอบให้แก่กันและกันได้ในเวทีเรียนรู้ ดังที่คุณเกศราภรณ์
ภักดีวงศ์ (คุณอำนวย) ผู้อำนวยการได้สะท้อนว่า
“มันเห็นชัดมากเลยคือความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนดีขึ้น
มันมีความรู้สึกว่าคนนี้ให้เรา คนนั้นก็ให้เรา
ถึงแม้ได้ฟังในส่วนที่ไม่ดี เราก็อยากรู้ว่าเพราะอะไร อยากเข้าไปช่วย
อยากเข้าไปแก้”
“หัวใจสำคัญก็คือการจัดการความรู้
ต้องเป็นการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างคนในหน่วยงานเพราะว่าความสัมพันธ์ที่ดีจะทำให้เรา
ไว้ใจกัน เชื่อใจกัน รักกัน
จะดึงเอาความรู้ฝังลึกที่เป็นประสบการณ์
เป็นทักษะที่ซ่อนอยู่ในตัวคน ออกมาเล่ามาแลกมาแบ่งกันได้”
“...แม้คนจะเป็นทรัพย์สินสำคัญ
แต่ความสัมพันธ์ระหว่างคนกลับสำคัญยิ่งกว่า
แม้จะมีคนกล่าวว่าความรู้คืออำนาจ
แต่กันแบ่งปันความรู้มีอำนาจยิ่งกว่า...” (นพ.พิเชฐ บัญญัติ: 23 มิ.ย.
48)
ถึงจะเรียนรู้มามากแค่ไหน ก็ยังคงเรียนได้ไม่รู้จบ
เวทีคร่อมหน่วยงานข้ามโรงพยาบาล
มีคุณกิจจากโรงพยาบาลค่ายสมเด็จพระนเรศวร
มาแบ่งปันประสบการณ์การดูแลผู้ป่วยแบบเป็นองค์รวม
ในบรรยากาศของการมีส่วนร่วมกัน ทำให้เกิดการยกระดับการเรียนรู้
ดังที่บุคลากรหลายท่านได้สะท้อนว่า
“ประโยชน์ของ KM ที่เห็นชัดๆ
ทำให้กระบวนการพัฒนาคุณภาพไปไวขึ้น”
“พอมารวมกัน แชร์กัน ได้องค์ความรู้ที่สามารถแก้ไขปัญหาได้
ภาระงานตัวเองลดลง งานตัวเองก็มีคุณภาพ ผู้ป่วยได้ด้วย
ทุกคนได้รับ”
“บางอย่างเราไม่ต้องเรียนรู้เอง เราไปทางลัด
เราหยิบจับสิ่งดีๆมาใช้ในหน่วยงานเราแต่ว่าไม่เอามาทั้งหมด เราจะดูว่า
อันไหนที่มันเข้ากับบริบทหรือสภาพแวดล้อมของโรงพยาบาลเราที่เราสามารถทำได้”
จะข้ามออกไปข้างนอก คร่อมอยู่ข้างใน
หรือโยงออกไปในเครือข่ายการบริการก็สามารถจัดการความรู้ได้ไร้ขอบเขต
สถานีอนามัย ทุ่งกระเชาะ รับซื้อวิธีคิด best practice
มาใช้จัดกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน มาเรียนรู้จากเพื่อน มาฟัง
มาซักให้เข้าใจทักษะการควบคุมน้ำตาลจากเพื่อนผู้ทำได้สำเร็จเรียนรู้จากตัวอย่างเชิงบวก
คนไข้และบุคลากรสะท้อนว่า
“บางทีคุณหมอบอกทีเราก็เฉยไม่ค่อยทำ
แต่เวลาพอเพื่อนที่เป็นเหมือนกันบอกเขาทำแล้วหาย เราก็ทำตามเขา
ควบคุมน้ำตาลจากเพื่อน
มาฟังมาซักให้เข้าใจทักษะการควบคุมน้ำตาล”
“ผลออกมาดีขึ้นประมาณ 90 % ของคนไข้น้ำตาลลดลง เช่น บางคนจากเมื่อก่อน
200 เหลือ 133”
ผลดียืนยันวิธีคิด
ความรู้แฝงฝังเกิดขึ้นทุกที่ที่มีการปฏิบัติ
การจัดการความรู้ยิ่งทำจึงยิ่งง่าย กลายเป็นฉันทะ
เกิดเป็นลักษณะนิสัยในตัวคน วันนี้ถ้ามีโอกาสเข้าไปในโรงพยาบาลบ้านตาก
มองผ่านรอยยิ้มสดใสและบริการสะดวกสบายทั้งระบบก็จะเห็นความสะอาดและความเป็นระเบียบอยู่ในทุกๆจุด
เพราะที่นี่มีกิจกรรม 5 ส.
พัฒนามาต่อเนื่องมายาวนาน
เป็นฐานรองรับชุมชนนักปฏิบัติที่มีสมาชิกมากที่สุด คือ
เจ้าหน้าที่ทุกคนในโรงพยาบาล
ดังที่บุคลากรหลายคนสะท้อนเป็นเสียงเดียวกันว่า
“เรียกว่าทำจนเป็นนิสัย จะรู้สึกสนุกสนาน”
“ไม่ต้องมีคนมาคอยจ้ำจี้จ้ำไช เพราะทุกคนจะทำไปโดยอัตโนมัติ”
“อะไรที่ต้องเปลี่ยนแปลงเราก็จะค่อยๆคุยกันไปเรื่อยๆ
สมมติว่าทำแล้วยังไม่ดีขึ้นมานั่งคุยกันใหม่ประชุมกันใหม่”
“ทั้งทีมต้องมาช่วยกันปรับ ทุกคนมีส่วนร่วม”
“เราทำให้มันเป็นวัฒนธรรม เป็นธรรมชาติ
มันยิ่งทำให้งานเรามีคุณภาพมากขึ้น”
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านตากได้เน้นย้ำเรื่องการจัดการความรู้อย่างน่าสนใจว่า
“การจัดการความรู้ ต้องสอดแทรกหรือเป็นเรื่องเดียวกับงานประจำ
อันนี้สำคัญมาก เพราะถ้าเข้าใจแนวคิดชัดเราจะไม่ไปติดกับรูปแบบ KM
ของที่ต่างๆ สามารถที่จะสร้างวิธีการจัดการความรู้ของตนเองได้ การทำ
KM แบบรู้ เห็น รัก ในความสำคัญในประโยชน์ของ KM จริงๆ
ตรงนี้จึงจะประสบความสำเร็จและยั่งยืน”
คือการเปลี่ยนแปลงตนเองไปทีละก้าว
เพื่อขยับใกล้เข้าสู่เป้าหมายสู่ความสุขจากการได้ทำงานเพื่อประโยชน์ของคนอื่นเพราะเลือกแล้วว่าจะเดินไปบนวิถีการเรียนรู้
จึงอุ่นใจและมั่นใจ
พร้อมทั้งยังมีเพื่อนมิตรที่ช่วยให้เราเข้าใจชีวิตและโลกแวดล้อม
มากขึ้นๆ ทุกวัน
บทสรุป
แม่น้ำสายใหญ่ยังคงไหลผ่านพิจิตร ที่ลุ่มชุ่มน้ำยังคงมีข้าวมีผัก
มีเกษตรกรที่ยังคงเรียนรู้ ปลูกสร้างผลผลิตมาเป็นอาหารเลี้ยงกาย
สร้างสมความรู้ขึ้นมา เป็นอาหารเลี้ยงปัญญา ในพื้นที่นี้
การจัดการความรู้จึงเกิดขึ้นและยังประโยชน์
บนเป้าหมายเดียวกันเพื่อนำการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่ามาสู่องค์กรและบ้านเกิด
ขบวนการร่วมพัฒนาพิจิตรและโรงพยาบาลบ้านตากได้สร้างองค์ความรู้ใหม่ของตนขึ้นมา
เริ่มจากทั้งความรู้ที่คว้ามาจากภายนอก และความรู้ที่ควักมาจากภายใน
เพราะด้วยการนำความรู้มาใช้ ความรู้จึงเกิดใหม่และพัฒนายกระดับขึ้น
พร้อมไปกับการทำงานที่เคลื่อนไปข้างหน้าในกระแสความเปลี่ยนแปลงที่หนุนเนื่อง
จะสอดรับหรือขัดขืน กลมกลืนหรือขัดแย้ง
การจัดการความรู้เป็นเพียงเครื่องมือของกระบวนการเรียนรู้
เพื่อยกความรู้ของชุมชนนักปฏิบัติ สู่ระดับปัญญา เชื่อมโยง
อิสระจากทุกข์พ้นไปจากปัญหายาก บนวิถีนี้
เราและโลกแวดล้อมจึงเคลื่อนไหวก้าวหน้าต่อไปได้อย่างสมดุลย์และมีความสุข
ไม่มีความเห็น