Come back to Wing 4


และแล้ว  หลังจากการเรียนหลักสูตรแพทย์เวชศาสตร์การบินอันยาวนาน (3 เดือน) 
กระผมและพี่แสงเดือน (รอง ผอ.) ก็ได้กลับมาปฏิบัติหน้าที่แพทย์ต่อ  ที่ รพ.กองบินที่ใหญ่สุดในประเทศ
ซึ่งการกลับมาครั้งนี้  รพ.ของเราได้เปลี่ยนไปมาก
ตั้งแต่โครงสร้างของตัวอาคาร  ซึ่งได้ซ่อมแซมใหม่  เปลี่ยนห้องประชุมใหม่
ทำห้องฟัน  ห้องพักแพทย์ใหม่
ย้ายและขยายห้องเวชระเบียน และห้องประชาสัมพันธ์
ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้  นับว่าเป็นนิมิตหมายอันดีสำหรับ รพ.เราต่อไป
และในอนาคตอันใกล้  ก้อมีโครงการปรับปรุงและขยายห้องฉุกเฉินต่อไป
เพื่อรองรับปริมาณคนไข้ที่เพิ่มขึ้นด้วย
ซึ่งคนไข้ที่มารับบริการนั้น  ก่อนผมไปเรียน  เมื่อสามเดือนก่อน
เรามีคนไข้ผู้ป่วยนอกประมาณวันละ 150 คน
แต่ปัจจุบัน  เนื่องจากมีผู้อำนวยการเป็นจักษุแพทย์ 
ทำให้คนไข้โรคตาในละแวกใกล้เคียง  ของจังหวัดนครสวรรค์ ,ชัยนาทแห่กันมารับบริการเพิ่มขึ้น
กลายเป็นวันละประมาณ 250 คน  โดยจะมากในวันอังคารและพฤหัสบดี 
เพราะมีการเจาะเลือดตรวจเบาหวานและไขมันในเลือดสูง 
ส่วนวันพุธก้อไม่น้อย  เนื่องจากเปิดคลินิกตา
กลับมาแรก ๆ ก้อลำบากเหมือนกัน  เพราะห่างจากวิชาการแพทย์ไปนานสามเดือน
ตรวจคนไข้คนแรก ๆ ก้อเกร็งเหมือนกัน
แต่แป๊บเดียว  ด้วยฟามพลิ้วของเรา  ก้อ smooth เหมือนเดิม
ช่วงแรก ๆ นี้ต้องอยู่เวรบ่อยหน่อย 
เพราะน้อง ๆ แพทย์ของผม 2 คน  สลับกันอยู่คนละวันตลอดสามเดือนแล้ว
ดังนั้นวันแม่แห่งชาติประจำปีนี้  กระผมเลยต้องอยู่เวร
ซึ่งก้อดี  เพราะคนไข้ไม่มาก  (คาดว่าผู้ป่วยส่วนมากกลับไปหาแม่กัน  หรือไม่ก้อลูกมาหา)
ซึ่งก้อดี  ที่ไม่เหนื่อย  แต่ที่ไม่ดีคือ  หมอที่อยู่เวรเหงามาก  หง้าวหงาว  เหงาสุด ๆ
ไม่รู้จะทำอะไรเลย  กินนอนไปเรื่อย 
จนในที่สุดต้องไปหาก๋วยเตี๋ยวกิน  และชวนยายเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวคุยเล่น
กลับมาสัปดาห์แรกก้อดวงดีเลย
เพราะในวันศุกร์ที่ 10 ส.ค.50 ที่ผ่านมา
ได้รับแจ้งว่าให้ไปชันสูตรศพจมน้ำเสียชีวิต  กึ๋ย!!
น่ากลัวมาก  ซึ่งคน ๆ นี้เป็นคนไข้ของผมเอง  เพิ่งมารักษากันเมื่อวันอังคารก่อนเสียชีวิต
น่าเสียดายมาก  และสงสารครอบครัวของเขาด้วย
เขาเสียชีวิตในหน้าที่  เนื่องจากเป็นเจ้าหน้าที่ประปา  ต้องอยู่เวร 
เลยไปเดินตรวจบ่อน้ำ  แล้วพลัดตกลงไป 
ซึ่งถ้าเป็นคนธรรมดา  ก้อน่าจะว่ายขึ้นมาได้ 
แต่คนนี้เคยประสบอุบัติเหตุ  ทำให้สมองกระทบกระเทือน
เลยเป็นอัมพาตครึ่งซีก  แต่รักษาตัวอยู่หลายปีแล้ว 
จากที่ขยับตัวไม่ได้เลย  กลายเป็นเดินได้โดยใช้ไม้เท้าช่วย
แต่น่าเสียดาย   ...เฮ้อ
แต่ที่ลำบากคือ  เขาเสียชีวิตมาได้ประมาณ 12 ชม.แล้ว 
และหมอที่ชันสูตรนั้น  ไม่ชอบวิชานิติเวชเลย!!
สมัยที่เป็นนักเรียนแพทย์นั้น  เวลาเรียนชันสูตรศพ  ผมมักนั่งหลังห้องเสมอ
เพราะไม่ชอบและไม่ถูกกับวิชานี้อย่างแรง  กลัวว่างั้นเหอะ
เฮ้อ...แต่พอจบมา  ดันแจ็คพ็อต  โดนชันสูตรคนเดียวบ่อยมาก
ศพนี้น่าจะเป็นศพที่  12 ในชีวิตการเป็นหมอสามปีของผมแล้ว  เฮ้อ
และเป็นศพที่สองที่ผมเคยชันสูตร  ซึ่งเสียชีวิตเพราะจมน้ำ
ไอ้ยากน่ะ  ไม่ยากเท่าไหร่  เพราะไม่ใช่ศพคดี  และญาติไม่ติดใจอะไร
แต่ไอ้กลัวน่ะ  มากอยู่  มากเอาการเชียวล่ะ
หมออื่นที่ไปด้วยน่ะ  ก้อมีแต่หมอผู้หญิง 2 คน  ซึ่งยืนอยู่หลังกระผม
ไอ้กระผมน่ะก้อกลัวนะ  แต่ด้วยความที่เป็นหมอ  ต้องทำใจกล้า 
ใส่ถุงมือ  แล้วก้าวเข้าไปชันสูตรตามที่ร่ำเรียนมา
(ใจจริงอยากก้าวถอยหลัง  แต่ขามันสั่น  ก้าวไม่ออก)
เฮ้อ....แล้วก้อผ่านไป  นอนไม่หลับนิดหน่อยคืนนั้น  แต่ไม่เป็นไรมาก
จากนั้นมาสัปดาห์นี้  เป็นสัปดาห์ที่สองของการกลับมาทำงานใน รพ.
ซึ่งเราต้องไปปฏิบัติหน้าที่ของแพทย์เวชศาสตร์การบิน  ซึ่งเป็นหน้าที่ใหม่ด้วย
โดยหลัก ๆ แล้ว  หน้าที่ก้อเช่น  ตรวจและให้การรักษานักบิน
และไป morning brief แก่นักบินตามฝูงต่าง ๆ ในเวลาเช้าด้วย
เพราะนักบินทุกฝูง   ทุกเช้าก่อนทำการบิน
จะมีการ morning brief ถึงภารกิจที่จะต้องบินขึ้นไปทำบนฟ้า (ไม่ใช่บินมั่วซั่ว)
ว่าวันนี้เราจะบินอะไรกัน  จากไหนไปไหน  ใครบิน  ใครหัวหน้าหมู่  ใครลูกหมู่
สภาพเครื่องบินเป็นอย่างไร  สภาพอากาศเป็นอย่างไร  มีฝนหรือเมฆมากไหม
ส่วนเรา  แพทย์เวชศาสตร์การบิน  จะไปบรรยายร่วม  สัปดาห์ละประมาณหนึ่งครั้ง
โดยพูดเรื่องเกี่ยวกับโรคและความรู้ทางการแพทย์ต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับการบินหรือไม่ก้อได้  ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที
ซึ่งสัปดาห์นี้  กระผมได้เลือกเรื่องที่จะไปบรรยาย เรื่อง NAP หรือการงีบหลับนั่นเอง
ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่ผมชำนาญมากที่สุด  เหอ ๆ
แต่ด้วยความ Wrong Place Wrong Time
ดันเลือกไปฝูง 403 คือ ฝูง F-16
ซึ่งวันพุธ  ฝูงนี้เขาจะ morning brief เป็นภาษาอังกฤษ  น่าน!! พลาดอย่างแรง
และทุกคนที่ขึ้น brief ก้อพูดอังกฤษหมด  ไม่ว่าจะเป็นช่างหรือพวกรายงานข่าวอากาศ
ดังนั้น  แพทย์ไทยอย่างเรา  มีรึจะยอม  ถึงแม้จะเตรียม powerpoint เป็นภาษาไทย
แต่เราก้อเริ่มอย่างสง่างามว่า  Good morning everybody.
Can I speak Thai ?
Because if I speak English,I will brief about 30 minute.
แล้วจากนั้น  กระผมก้อแพล่มไทยเลยคร้าบ  ไม่สนใครทั้งสิ้น  ก้มหน้าก้มตาบรรยายอย่างเดียว
เพราะเด๋วมีคนทักให้พูดอังกฤษ  กว่าจะเงยหน้าขึ้นอีกทีก้อบรรยายจบแล้ว
และจบอย่างสง่างามเหมือนเคยว่า "Any question?"
นี่!!  อึ้งกันทั้งบางครับ  เหอ ๆ จากนั้นไม่เปิดโอกาสให้ถาม
รีบลงจากเวที  แล้วโกยกลับเลยครับ 
เหอ ๆ เนียนมะ 
(และนึกในใจว่า  วันพุธตูไม่มาฝูงนี้แล้ว  good bye)
และเรื่องราวในสัปดาห์ครึ่งของการกลับมาทำงานที่นี่  ก้อจบลงแบบนี้
คราวหน้าจะมาเล่าเรื่องบ้า ๆ แบบอื่น ๆ ต่อน้า
บ๊ายบายคร้าบ
คำสำคัญ (Tags): #wing 4
หมายเลขบันทึก: 120516เขียนเมื่อ 18 สิงหาคม 2007 18:14 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 19:58 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท