สนามบินสุวรรณภูมิ (Suvarnabhumi airport) , การกีฬาแห่งประเทศไทย


สัปดาห์นี้ใกล้จบเต็มแก่  อาจารย์เขาเลยให้เร่งดูงานตามที่ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเวชศาสตร์การบินให้หมด
โดยหลังจากที่เมื่อวานได้ดูกองบินทหารเรือและเรือรบหลวงจักรีนฤเบศรกันไปแล้ว
วันนี้  เราได้เดินทางมาที่สนามบินที่ใหญ่ที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นั่นคือ  ความภาคภูมิในของคนไทยทั้งประเทศ  สนามบินสุวรรณภูมิ
จริง ๆ อยากเขียนเรื่องสุวรรณภูมินะ  แต่แอบกลัว  เนื่องจากยังมีคดีความกันอยู่
แถมบางคนยังมีอคติด้วย  แต่ไหน ๆ ก้อไหน ๆ สู้ตาย  เขียนผิดเขียนถูกก้อช่วยแก้ละกันนะ
สนามบินสุวรรณภูมินั้น  ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณห้าแสนไร่  (จำได้ว่าประมาณนี้นะ)
โดยมีพื้นที่ของอาคารประมาณสองแสนไร่ม้าง
อาคารวางรูปเป็นตัว H และแบ่งชื่ออาคารส่วนต่าง ๆ ออกเป็น A , B , C , D , E , F ประมาณนี้
โดยการที่เราไปดูงานนี้  ไปเน้นหนักทางด้านการป้องกันภัยดับเพลิง
ซึ่งสนามบินสุวรรณภูมิ จะมีสถานีดับเพลิงพร้อมด้วยรถดับเพลิงอยู่ใกล้ ๆ
ใหม่เอี่ยมทั้งตัวสถานีเองและตัวรถดับเพลิง  เนียนมากจริง ๆ (แต่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงมือเก่านะ  ไม่ใช่มือใหม่ไปด้วย)
และมีการซ้อมดับเพลิงอยู่เป็นวงรอบ  ประจำ ๆ เสมอ
ซึ่งเขาลงทุนสร้างสถานที่สำหรับซ้อมดับเพลิงทีเดียว
คือ  เป็นเครื่องบินจำลอง  วางอยู่ตรงกลางสนาม  แล้วมีท่อปล่อยไฟอยู่โดยรอบสนาม
โดยใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมว่าต้องการให้จำลองเหตุการณ์ไฟไหม้แบบใด  และให้นักดับเพลิงทดลองดับดู
น่าสนุกมาก  ไฮเทคสุด ๆ โดยซื้อเทคโนโลยีนี้มาจากต่างประเทศนะเนี่ย
ซึ่งล่าสุดมีเหตุการณ์ระทึกขวัญที่ว่า  เครื่องบินแคนาดายางแตกที่สนามบินนี้
ซึ่งนักดับเพลิงทุกคนก้อพร้อมและทำงานกันได้ประสิทธิภาพดียิ่ง
จากนั้นเราได้ทำการสอบถามเรื่องความพร้อมของแพทย์ที่ประจำอยู่ที่สนามบินนี้
โดยได้หัวหน้าแผนกแพทย์มาเป็นผู้ตอบคำถาม  ซึ่งเป็นรุ่นพี่แพทย์เวชศาสตร์การบินกระผม 2 รุ่น
โดยแพทย์ที่ประจำที่นี่  จะทำงานเฉพาะกลางวัน
ส่วนกลางคืน  รับเหมาแพทย์มาจาก รพ.กรุงเทพมาอยู่กลางดึก
และที่ควรจะมี  แต่ไม่มี  คือ  เครื่อง AED ติดตามที่ต่าง ๆ ของสนามบิน
ไอ้เจ้าเครื่อง AED นั้น  ก้อคือ  เครื่องที่ไว้ช็อคหัวใจ  ที่เราเห็นในหนังนั่นแหละ
ที่หน้าตาเหมือนเตารีดสองอันมาวางไว้บนหน้าอกนั่นแหละ
ซึ่งในต่างประเทศและสนามบินใหญ่ ๆ ทั่วโลก  เช่น  สนามบิน Chicago
เขาจะมีติดไว้บริเวณต่าง ๆ  เพราะว่าตามสถิติ  คนหัวใจวายคาสนามบินชิคาโก  ปีหนึ่ง ๆ มีประมาณ 100 คนเชียว
เพราะงั้น  หากมีเจ้าเครื่องนี้ติดไว้ตามที่ต่าง ๆ อย่างน้อย  ก้อยังพอช่วยลดการเสียชีวิตจากหัวใจล้มเหลวได้บ้าง
แต่แพทย์ที่นั่น  ดันให้เหตุผลที่ไม่ติดเจ้าเครื่องนี้ไว้หลายอย่าง  เช่น
1.  คนไทยไม่มีความรู้พอที่จะใช้เครื่องนี้   (โอโห  แล้วทำไมไม่สอนเจ้าหน้าที่สนามบินละครับพี่ 
ถ้าให้เหตุผลแบบนี้  ประเทศเราก้อไม่ต้องทำอะไรเลยสิ  เพราะทุกอย่างก้อเทคโนโลยีฝรั่งทั้งนั้นอ่ะ)
2.  เครื่องนี้มีราคาแพง  และไม่คุ้มค่าที่จะลงทุน  เพราะต้องติดหลายที่  และคนไทยใช้ไม่เป็น
(น่าน  แบบนี้ก้อเหตุผลเหมือนข้อแรก  งี้ก้อไม่ต้องลงทุนสักอย่างดิ  เพราะมันก้อแพงไปหมดอ่ะ 
อยากรู้จริง ๆ ว่าไอ้ที่แพง ๆ น่ะ  แลกกะชีวิตคนไทย  ไม่คุ้มรึไง)
3.  เครื่องนี้ต้องชาร์จไฟบ่อย ๆ ซึ่งไม่สามารถทำได้  อาจเพราะไม่มีคนทำหรืออะไรสักอย่าง
(เอาเข้าไป  ยิ่งฟังยิ่งอนาถใจ)
อันนี้ผมไม่ได้อคติกับสนามบินนะ  แต่แพทย์ที่นั่นตอบคำถามพวกเราแพทย์เวชศาสตร์การบินทั้ง 20 คนได้ไม่ดีเลย
พวกเราฟังคำตอบแล้วก้อมองหน้ากัน  แล้วก้อส่ายหน้าและไม่ถามต่อ 
เพราะถ้ามีความคิดแค่แบบนี้  ก้อไม่ต้องคุยกันดีกว่า  ไม่เกิดประโยชน์
หลังจากที่ฟังบรรยายสรุปในห้องประชุม  ก้อมีเจ้าหน้าที่พาเดินชมสนามบิน
ซึ่งขอติต่อ  เจ้าหน้าที่สนามบินสุวรรณภูมิที่มีหน้าที่ประชาสัมพันธ์สนามบินนั้น
คงทำหน้าที่นี้บ่อย  เลยเกิดความเบื่อหน่าย
อีกทั้งยังมีทัศนคติที่คิดว่า  คนที่มาดูงานตั้งใจจะมาจับผิดสนามบินทุกคน
ซึ่งการคิดแบบนี้  ผมว่าไม่น่าเกิดผลดี 
ทุกคนที่มาดูงาน  เพราะเขาสนใจ  เขาภูมิใจในสนามบินของคนไทยทั้งประเทศ
และหากเขาติ  ทั้งนี้ก้อเพื่อก่อ  เพื่อให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป
นั่นเลยทำให้การเดินชมสนามบินนี้  ไม่สนุกเท่าที่ควร
แถมเส้นทางการเดินชม  ก้อเป็นลักษณะเหมือนเดินเข้าจากภายนอก
ผ่านการตรวจคน  และเดินตามทางไปเรื่อย ๆ ผ่านพวก duty free
จนออกทางที่ผู้โดยสารเข้าประเทศอ่ะ
ไม่เกิดประโยชน์เลย  ทำไมไม่ดูว่าผู้ที่มาดูงานเขาสนใจอะไร
และเขามีความชำนาญในด้านใน
เช่น  พวกเราแพทย์เวชศาสตร์การบิน  แทนที่จะพาไปดูห้องพยาบาล
หรือการซ้อมปฐมพยาบาล  ,  ห้องกักโรคจากต่างประเทศ ฯลฯ
จะเหมาะสมกว่า
เพราะทางที่ท่านนำผมดูงานนั้น  หมออย่างพวกเราบินเข้าออกบ่อย ๆ เห็นมาตั้งนานแล้ว
อันนี้ผมก้อไม่ได้ว่าสนามบินเหมือนเดิม  หากแต่ว่าตัวเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติเท่านั้น
มาพูดถึงเรื่องดีดี  ให้จรรโลงใจกันดีกว่า
สนามบินนี้มีสถาปัตยกรรมงดงามมากมาย  โดยผลิตจากสำนักช่างสิบหมู่
เช่น  ศิลปะกวนน้ำอมฤต  ซึ่งอลังการงานสร้างมาก
ที่ไม่มีใครรู้คือ  ศิลปะนี้ทำการลงสีทั้งสิ้นสองรอบ
เนื่องจากรอบแรกลงสีเสร็จไปแล้ว  หัวหน้าช่างสิบหมู่มาดู
บอกว่า  ชายผ้านุ่งของเทวดา  ไม่มีขอบ  แสดงว่าเป็นผ้านุ่งชั้นต่ำ
แต่ผ้านุ่งผู้ดีมีชาติตระกูลต้องมีขอบผ้า  เพราะงั้นเลยต้องลงสีใหม่อีกรอบ  ตลกมะ
แต่ก้อนับถือความรู้ความสามารถของหัวหน้าแกนะ  เยี่ยมจริง ๆ
นอกจากนั้นยังมีศิลปะยักษ์ที่ยืนเฝ้าสนามบินอีก  12 ตัวละม้าง  ไม่แน่ใจ
ไอเดียดีมาก  สำหรับคนคิด  แต่ยักษ์บางตัวยืนในที่ไม่เด่นเท่าไหร่  ควรย้ายมาให้โจ่งแจ้งแจ่มกว่านี้
และยังมีศาลาไทย  งดงามมาก  เยี่ยมเหมือนเดิม  ฝรั่งต้องทึ่งแน่ ๆ
นอกจากนั้นในสนามบินยังมีห้างเพียบ  ไฮโซหรูหรา  ยิ่งกว่าห้างดัง ๆ มากมาย
ของใน duty free นั้นถูกกว่าข้างนอกบางชนิด (แต่ไม่ได้ซื้อนะ  เขาห้ามซื้อ)
เช่น  พวกน้ำหอม ฯลฯ
แต่ถ้าเป็นพวกโทรศัพท์มือถือหรือกล้องถ่ายรูป  ซื้อมาบุญครองถูกกว่า  แปลกมะ
ทั้ง ๆ ที่ร้านแถวนี้ปลอดภาษีนะ  แต่ข้างนอกดันถูกกว่า  งง
สรุปดูงานสนามบินก้อสนุกดี  ได้ความรู้ใหม่ ๆ เยอะ  แต่ไม่ตรงจุดที่ต้องการเท่าไหร่  แต่ดีกว่าไม่ได้
ใจจริง  ชอบสนามบินนี้นะ  เพราะใหญ่และทันสมัย
และโดยส่วนตัวเชื่อว่า  สักวันจะต้องเป็นสนามบินนานาชาติที่ยิ่งใหญ่แน่  ถ้าพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ น่ะนะ
โดยสนามบินนี้ตั้งเป้าว่า  ภายในปี 2552 จะต้องเป็นสนามบินที่ดีที่สุด  1 ใน 20 ของโลก
และภายในปี  2560 จะต้องเป็นสนามบินดีที่สุด  ติดหนึ่งในสี่ให้ได้
(1 สนามบินอินซอน เกาหลี , 2 สนามบินฮ่องกง , 3 สนามบินกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย, 4 สนามบินชางงี สิงคโปร์)
ดู ๆ แล้วก้อมีสิทธิ์นะ  แต่ต้องสู้ตายยยยยยยย
อ้าว....ลืมเขียนเรื่องไปดูงานตอนบ่ายที่การกีฬาแห่งประเทศไทยเลย
อันนี้ก้อดูไม่มากหรอก  ดูเรื่องวิธีทดสอบสมรรถภาพร่างกายของนักกีฬาเป็นส่วนมาก
เพื่อนำมาเทียบกับการทดสอบร่างกายของนักบิน
ซึ่งการกีฬาแห่งประเทศไทยนั้น  ตั้งอยู่ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน  ใหญ่มาก
อลังการ  สนามนี้ก้อตั้งอยู่ใกล้ ๆ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) นั่นแหละ  กึ๋ย ๆ  เนียน
ก้อที่นี่จะเป็นที่ทดสอบนักกีฬาทุกประเภทกีฬาของไทย
เพื่อดูสมรรถภาพด้านต่าง ๆ
นอกจากนั้นยังมีนักกายภาพและนักวิทยาศาสตร์การกีฬามาช่วยดูแลการฝึกซ้อมของนักกีฬาด้วย
เพื่อให้การสมรรถภาพร่างกายของนักกีฬาเข้ากับประเภทกีฬาที่จะแข่งขัน
น่าประทับใจมาก  ฟังดูแล้วเหมือนเมืองนอกเลยเนอะ
ที่มีคนมาออกแบบการออกกำลังกายให้เราด้วย  ว่าเราควรเล่นแบบใดเพื่อได้ประโยชน์ใด
แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ว่า  ห้องที่นักวิทยาศาสตร์พวกนี้ทำการทดลอง  นั้นเล็กมาก
แคบจริง ๆ ขนาดพระองค์เจ้าสิริวัณวรีเคยเรียกผู้ว่าการกีฬาแห่งประเทศไทยไปบอกตั้งสองรอบ
ก้อไม่เห็นว่าจะย้ายห้อง  หรือขยายขนาดห้องให้  น่าสงสารจริง
เหมือนไม่ค่อยมีใครให้ความสำคัญ  ตลกดี
พวกนี้น่าสงสารทำงานเบื้องหลังตลอด  คอยดูแลทั้งร่างกายและจิตใจของนักกีฬา
บางคนทำตั้งแต่ยุคเขาทราย  ,  ปิยะพงศ์  ยันยุคสาวหล่อ  ยันยุคน้องวิว 
แต่พอนักกีฬาดัง  คนที่ได้หน้า  ดันเป็นนักการเมืองแทน  น่าน  เอาเข้าไป
เฮ้อ...เศร้า  แต่ให้กำลังใจคนทำดีให้สู้ต่อไปเพื่อประเทศไทยครับ
ใครไม่เห็นฟ้าดินเห็น  เนอะ
หมายเลขบันทึก: 120514เขียนเมื่อ 18 สิงหาคม 2007 18:10 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 19:55 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท