ไม่น่าเชื่อว่าวลีที่ปรากฏอยู่ในกรอบประโยคเด่น จะมาจากชายผู้หนึ่งซึ่งอยู่ในร่างของคนพิการมานานกว่ายี่สิบปี เขาชื่อ กำพล ทองบุญนุ่ม ซึ่งประกาศอย่างกล้าหาญว่า เขาลาออกจาความพิการแล้ว
ณ วันนี้กำพลในวัยกลางคนมีความสุขกับภาระกิจของชีวิต โดยที่เขาไม่สนใจว่าร่างกายของเขาจะพิการ ไม่สามารถเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้เฉกเช่นคนธรรมดาทั่วไป เพราะเขาบอกว่ากายพิการแต่ใจเขาไม่พิการ
กำพลเคยเป็นอาจารย์สอนวิชาพละศึกษา ในมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง เขาประสบอุบัติเหตุจากการกระโดดลงสระน้ำเมื่อยี่สิบกว่าปีมาแล้ว อุบัติเหตุครั้งนั้นร่างกายของกำพลตั้งแต่ช่วงไหล่ลงมาจนถึงปลายเท้า ไม่มีความรู้สึกเลย ไม่สามารถจะเคลื่อนไหวได้อีก ชีวิตของเขาจึงอยู่บนเตียงนอนและบนรถเข็นมานานยี่สิบกว่าปี
เขาต้องต่อสู้กับความพิการของร่างกายอย่างแสนสาหัส แต่เขาก็มีความมานะพยายามที่จะช่วยตนเอง ในการปฏิบัติภาระกิจประจำวันให้ได้มากที่สุด เพื่อจะไม่ต้องรบกวนคนใกล้ชิด หรือจะรบกวนบ้างก็น้อยที่สุด
แต่สำหรับความทุกข์ทางใจที่เกิดจากความพิการนั้น กำพลบอกว่าไม่มีใครที่จะช่วยเขาได้ แต่เขาก็โชคดีที่มีความเชื่อและศรัทธาในธรรมะของสมเด็จพระบรมศาสดาอย่างลึกซึ้ง เขานำธรรมะมาประยุกต์ใช้ในการที่จะพ้นจากความทุกข์ทางใจได้สำเร็จในระดับหนึ่ง ซึ่งก็ทำให้เขามีความสุขทางใจ และเกิดความบันดาลใจที่จะเผยแผ่ธรรมะที่ช่วยให้เขาพ้นทุกข์ ไปบอกกล่าวให้อื่นที่มีความทุกข์ทางใจได้รับรู้และนำไปปฏิบัติบ้าง
นั่นคือที่มาของการรับเชิญไปเป็นวิทยากรพิเศษบรรยายเกี่ยวกับธรรมะให้ผู้คนฟังตามสถานที่ต่างๆอยู่เนื่องๆ จนกล่าวได้ว่าเขาได้รับการยอมรับจากผู้คนในระดับหนึ่ง นอกจากนี้เขายังร่วมจัดรายการวิทยุกับชมรมคนรักธรรมะทุกเช้าวันจันทร์ เวลา 06.30-7.00 น.
แม้กายจะพิการต้องนั่งอยู่บนรถเข็น เขาก็สามารถเดินทางไปในที่ต่างๆได้ โดยมีเพียงผู้ช่วยคนหนึ่งคอยดูแลเท่านั้น ใบหน้าของเขาอิ่มเอิบเต็มไปด้วยความสุขตลอดเวลาที่ไปไหนมาไหน ในยามที่ต้องพบปะผู้คนสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับชีวิตและธรรมะ
หลายคนสงสัยและไต่ถามเขาว่า เขาทำให้ชีวิตของเขามีความสุขอย่างนี้ได้อย่างไร เขาตอบสั้นๆว่า "สำคัญที่ใจ แม้กายจะพิการ" และมีคำพูดที่คมคายน่าคิดอีกหลายประโยค ดังคำพูดส่วนหนึ่งของเขาในกรอบประโยคเด่นข้างบนนั้น
ผมขอคารวะและชื่นชมต่อ กำพล ทองบุญนิ่ม อย่างจริงใจครับ...
ไม่มีความเห็น