ค่ะ ต้อมเห็นด้วยที่ว่า หัตถกรรมของไทยหรือของภูมิภาคเอเชียนั้น น่าจะมุ่งที่ตลาดกลุ่มเล็ก ๆ ที่มีความต้องการเฉพาะกลุ่มจริง ๆ เพื่อที่ว่าผู้ผลิตและผู้บริโภคจะได้มีความภูมิใจ มีความสุข ทั้งสองฝ่าย
แต่ในการที่จะทำอย่างนั้นได้ .. ไม่รู้สินะคะ ในสายตาต้อมที่เป็นคนตัวเล็ก ๆ (( เปรียบเทียบ ๆ ๆค่ะ เพราะความจริงตัวหนูล่ำบึ้กมาก ๆ ^_^ )) มองเห็นว่า ราคาของสินค้ามีส่วนเป็นอย่างมากในการจะผลิตอะไรขึ้นมาสักอย่าง พอสินค้าชิ้นนี้เป็นที่สนใจของผู้บริโภค ก็ต้องรีบผลิตออกมาเป็นจำนวนมากชิ้น ต้องกอบโกยไว้ก่อน โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีเข้ามาบ่อย ๆ พอมีการเร่งการผลิตก็จะมีสินค้าออกมาเกร่อ บางทีคุณภาพก็ด้อยกว่าเดิมเพราะต้องการลดต้นทุนในการผลิต อะไรทำนองนี้น่ะค่ะ ส่วนเรื่องความสุข ความภาคภูมิใจนั้นลืมไปได้เลย ในเมื่อยังต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของคนในครอบครัวอยู่
ต้อมยังสงสัยอยู่น่ะค่ะ เอาเฉพาะในเมืองไทยนะคะ จะมีงานหัตถกรรมของผู้ผลิตรายไหนบ้าง ที่ไม่สนใจในตัวเลขอันเป็นจำนวนผลิตและรายได้ ทำไปเพราะความสุขจริง ๆ เพื่อความภาคภูมิใจที่จะยกระดับชิ้นงานนั้น ๆ
สวัสดีค่ะอาจารย์คะ
เห็นด้วยที่จะให้งานหัตถกรรมไทย เป็นแบบNiche Market แต่ ก็อย่างที่เคยให้ความเห็นไว้ค่ะ ต้องพยายามสร้างbrandค่ะ เพราะมิฉะนั้น ก็จะปนกันไปหมด ของดี ของไม่ดี สีสันคล้ายๆกัน ต้องสร้างความต่างขึ้นมาค่ะ
แต่ก็อย่างที่อาจารย์ปรารภไว้
ให้ผู้ผลิตทำแบรนด์เอง อาจยากหน่อย
พี่นึกถึงนาฬิกาแบรนด์ดังๆ ของสวิส เขาเริ่มมาจากอุตสาหกรรมในครอบครัว ทำกันมาหลายgeneration เป็น100ปี ใครจะทำแบบdigitalยังไง เขาก็ทำแบบautomatic อยู่อย่างนั้น ขายได้ดีกว่ามาก บางรุ่นผลิตไม่กี่เรือน ซื้อเก็บกันแบบของมีราคาหายาก ซื้อขายต่อกันแพงๆ
มีการประมูลมาจาก Ebay แล้วขายต่ออีกเป็นงานอดิเรก ขายทางอินเตอร์เน็ต เห็นจะซื้อ จะขาย ต้องเอาแว่นขยายส่องกัน เพื่อดูว่า แท้ไม่แท้ เป็นงานอดิเรกสนุกๆของพวกผู้ชาย พวกผู้ชาย ชอบนาฬิกามากค่ะ
ลองดูเรื่องbrand เพื่อให้เกิด ความแตกต่างนะคะ
แต่ถ้า ชาวบ้าน คิดแค่ ทำยามว่าง จากงานเกษตรกรรม การทำbrand อาจไม่คุ้ม เพราะเสียค่าใช้จ่ายมากค่ะ
สวัสดีค่ะน้องต้อม
ขอโทษนะคะที่ตอบช้าไม่อยู่บ้านเป็นอาทิตย์ เพิ่งกลับมาค่ะ โดนน้องแซวซะแล้ว^-^
พอสินค้าชิ้นนี้เป็นที่สนใจของผู้บริโภค ก็ต้องรีบผลิตออกมาเป็นจำนวนมากชิ้น ต้องกอบโกยไว้ก่อน โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีเข้ามาบ่อย ๆ พอมีการเร่งการผลิตก็จะมีสินค้าออกมาเกร่อ บางทีคุณภาพก็ด้อยกว่าเดิมเพราะต้องการลดต้นทุนในการผลิต
นั่นซีคะ ทำอย่างไรก็ได้ ขายอะไรก็ได้ "ถ้ามีคนซื้อ"
ประเด็นที่เรากำลังต้องการมาช่วยกันสร้างความแตกต่างคือ การให้หัตถกรรมนั้นขายได้ยั่งยืน มีพัฒนาการ มันยากตรงนี้เพราะสวนกับกิเลสคนยุควัตถุนิยม ที่มองทุกอย่างเป็นเงิน ทำงานโดยเอาความโลภนำ มากกว่าใช้ สติและ ความรู้นำ
สังคมเราทุกวันนี้มันเป็นเหมือนกันหมดไม่ใช่เฉพาะแค่วงการหัตถกรรม ดูผลไม้นานาชนิดซีคะ ล้นตลาดทุกปี ราคาตกทุกปี คุณภาพก็ลดลง ตั้งต้นด้วยความโลภ และไม่มีความรู้พอ ชะตากรรมจะจบลงที่เดียวกันหมด
คงไม่มีใครผลิตของโดยไม่สนใจว่าจะขายได้หรือเปล่า การมีสัมมาชีพ หาเงินเลี้ยงชีพ เป็นเรื่องปกติ แต่การรู้จักความพอดี พอเพียง เคารพในสิ่งที่ทำ อยากให้ผู้ซื้อได้กินได้ใช้ของดีสมค่าเงินที่ต้องจ่ายต่างหาก คือคุณธรรมของผู้ผลิต และจะทำให้เลี้ยงชีพได้อย่างยาวนานเพราะผู้ซื้อติดใจในคุณภาพ
แต่หากเป็นผู้ซื้อที่ไม่คิดอะไรมาก ชอบบริโภคหรือซื้อของตามๆกันเป็นแฟชั่น ชอบของถูก ไม่มีความรู้ในการพิจารณาตัดสินใจเลือกซื้อ คงเป็นโอกาสทองของผู้ผลิตในแนวมากๆ เร็วๆ ถูกๆ ก็อย่าไปยุ่งกับคู่นี้เขาเลยค่ะ
สวัสดีค่ะคุณพี่ศศินันท์ เรื่องแบรนด์สินค้าไทยนั้นเห็นทางภาครัฐก็ดำเนินการอยู่หลายปี แต่ยังไม่เห็นเข้าไปถึงหัตถกรรมที่ชาวบ้านทำ เคยเห็นเอ็นจีโอฝรั่งเข้ามาช่วยชาวบ้านที่สุรินทร์ในการออกแบบ การตลาดเครื่องประดับเงิน และผ้าทอ โดยตัวเอ็นจีโอเองเป็นเสมือนแบรนด์ให้ ไม่ได้ทราบรายละเอียดมากนักค่ะ น่าสนใจหาเรื่องราวความสำเร็จมาเรียนรู้กัน เพื่อปรับใช้นะคะ
นุชคิดว่างานหัตถกรรมสามารถพัฒนาให้สร้างรายได้มากได้ ด้วยการใช้ความรู้และสติ แต่ไม่ควรให้เขาทิ้งการเกษตรที่แม้อาจไม่ได้สร้างรายได้มากแต่เขาใช้พึ่งตนเองได้ มามุ่งหาแต่เงิน
ขอบคุณมากค่ะที่ผู้รู้จริงมาร่วมแชร์
กลับมาเสียที ต้อมคิดถึงค่ะ เห็นหายไปนาน เป็นห่วงแทบแย่น่ะค่ะ TT_TT
สวัสดีค่ะอาจารย์ขจิต (และขอถือโอกาสตอบคุณต้อมด้วย ที่จริงไปหาถึงบ้าน-บล็อกแล้วนะคะ)
แล้วชอบมั้ยล่ะคะ รูปใหม่นี่
ความพอเพียงนั้นพี่ว่าต้องประกอบกันทั้งตัวผู้ผลิต และผู้เข้าไปส่งเสริม ส่วนมากผู้ส่งเสริมนี่ล่ะค่ะที่ไม่เข้าใจ ไปทำให้ความพอดีหมดสิ้นไป
ที่อาจารย์ยูมิเขียนนั้นใช่เลยค่ะ
สวัสดีค่ะอาจารย์ยูมิ เห็นด้วยมากๆเลยค่ะ แต่คนส่วนใหญ่สมัยนี้ไม่รู้หัวใจไปไหนหมด ทุกอย่างต้องเร็วๆ มากๆ วัดกันเป็นปริมาณ เป็นตัวเลข ตัวเงิน จึงต้องเร่งปั๊ม ง่ายกว่า เร็วกว่า แล้วมากลุ้มทีหลัง
ที่เห็นกระแสว่าจะวัดที่ความสุขเป็นเพียงการพูดไปอย่างนั้นเองนะคะ