พุทธทาสจักอยู่ไปไม่มีตาย
ปรากฎการณ์พุทธทาส คุณค่าและความหมาย สันติสุข โสภณสิริมูลนิธิเสถียรโกเศศ – นาคะประทีป ******************* เมื่อคราวสมโภชฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 150 ปี ใน พ.ศ. 2475 นั้น มีปรากฏการณ์สำคัญสองครั้งเกิดขึ้นในหน้าประวัติศาสตร์ไทย นั่นคือการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน ส่วนอีกเหตุการณ์หนึ่ง เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น 1 เดือน คือ การก่อตั้งสวนโมกข์พลาราม ณ อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อวันวิสาขบูชาปีเดียวกัน ปรากฎการณ์แรกนั้นส่งผลกระทบต่อการพัฒนาความคิดทางการเมืองของไทยตลอด 60 ปี ในขณะที่ปรากฏการณ์อย่างหลัง ได้กลายเป็นพลังเคลื่อนไหวทางศาสนาที่สำคัญในโลกสมัยใหม่ แน่นอน ปรากฎการณ์คู่แฝดดังกล่าวมิได้อุบัติขึ้นลอย ๆ หากเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยทางเศรษฐกิจการเมืองและวัฒนธรรมทั้งจากภายในและนอกประเทศที่กำลังคลี่คลายขยายตัวในยุคนั้น คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 โดยคณะราษฎรจะเกิดขึ้นมิได้เลย หากปราศจากแรงกระทบของเงื่อนไขสากลร่วมสมัย เช่น ขบวนการประชาธิปไตยในประเทศตุรกี ซึ่งนำโดยคณะยังเตอร์ก ของมุสตาฟา เคมาล ปาซา และขบวนการเก็กเหม็งในประเทศจีน ซึ่งนำโดยคณะก๊กมินตั๋งของ ดร.ซุนยัดเซ็น หรือแม้แต่การปฏิวัติใหญ่ในรัสเซีย เป็นต้น ส่วนเงื่อนไขภายในประเทศก็มีนักคิดประชาธิปไตยอย่างท่านเทียนวรรณ ก.ศ.ร. กุหลาบ หรือกบฏยังเติร์ก ร.ศ. 102 ของ ร.ท. หมอเหล็ง ศรีจันทร์ เกิดขึ้น ก่อนขบวนการคณะราษฎรเสียอีก ในทำนองเดียวกัน ขบวนการปฏิรูปศาสนาที่เรียกกันว่า “ขบวนการสวนโมกข์” ก็เป็นผลพวงทั้งทางตรงและทางอ้อมจากปัจจัยการทางสังคมการเมืองดังกล่าวด้วย เพราะเมื่อสังคมก้าวหน้าขึ้น คำถามที่ตามมาก็คือ “ศาสนาจะมีประโยชน์อะไรต่อโลกที่พัฒนาแล้ว” แต่เงื่อนไขสากลที่กล่าวได้ว่าเป็นแรงบันดาลใจร่วมยุคของสวนโมกข์ คือ ขบวนการฟื้นฟูพุทธศาสนา ในลังกาและอินเดียของ ท่านอนาคาริกะ ธรรมปาละ อุบาสกชาวศรีลังกา ผู้ก่อตั้งมหาโพธิสมาคม และภายในประเทศไทยเองก็มีความเคลื่อนไหวในการปรับปรุงพุทธศาสนาให้ทันสมัยมาตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 5 โดย สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพยะยาวชิรญาณวโรรส ผู้ทรงออกวารสาร “ธรรมจักษุ” สำหรับชาวพุทธหัวใหม่ คนรุ่นหลังคงลืมกันไปแล้วในช่วงไล่เลี่ยกับการก่อตั้งสวนโมกข์ขึ้น มีขบวนการปฏิรูปศาสนาเกิดขึ้นอย่างน้อย 2 ขบวนการ ที่โด่งดังฮือฮากันในสมัยนั้นคือ ขบวนการ พระโลกนาถ ภิกษุ ชาวอิตาเลียนที่เข้ามาชักชวนสังฆบริษัทไทยร่วมเดินทางออกเผยแผ่พุทธศาสนาทั่วโลก อีกขบวน คือ ขบวนการฟื้นฟูพุทธศาสนายุคกึ่งพุทธกาลของ นายนรินทร์ (กลึง) ภาษิต ผู้ทำบัญชีเปิดโปงพระเถระอลัชชีในเมืองไทย และตั้งคณะภิกษุณีสายเถรวาทขึ้นโดยบวชลูกสาว 2 คน ขบวนการศาสนาทั้งสองขบวนการเป็นที่นิยมชมชอบของปัญญาชนชาวพุทธในเวลานั้นเป็นอันมาก แต่ไม่นานก็กลายเป็นคลื่นกระทบฝั่ง เหตุที่การกำเนิดของสวนโมกข์ไม่ใช่เป็นเพียงอุบัติการณ์ชั่วคราว แต่เป็นขบวนการฟื้นฟูศาสนาที่ก้าวหน้ายั่งยืนมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ก็เพราะความมุ่งมั่นและเล็งเห็นการณ์ไกลของพระภิกษุหนุ่มวัย 26 ปีผู้ก่อตั้ง ผู้ซึ่งได้ประกาศปฏิญญาอย่างแน่วแน่ต่อสาธารณชนในปี 2475 ว่า พุทธัสสาหัง นิยยาเทมิ สรีรัญชีวิตัญจิทัง พุทธัสสาหัสมิ ทาโสวะ พุทโธ เม สามิกิสสโร – อิติ พุทธทาโส ข้าพเจ้ามอบชีวิตและร่างกายนี้ถวายแด่พระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นนายของข้าพเจ้า เพราะเหตุดังว่า มานี้ ข้าพเจ้าจึงชื่อว่า พุทธทาส สิ่งที่เรียกว่า “ปรากฏการณ์พุทธทาส” อุบัติขึ้นอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่นั้นจนบัดนี้ล่วงเลยมา 61 วิสาขมาสแล้ว นาม “พุทธทาส” ยังยืนยงเป็นสดมภ์หลักแห่งพุทธทาสในท่ามกลางโลกสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยวัตถุนิยมผสมกับไสยศาสตร์ สังคมไทยพัฒนามาอย่างไม่สมประกอบ ด้านหนึ่งรับความทันสมัยของวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามามากมาย แต่อีกด้านหนึ่งคนมากมายยังหลงงมงายในไสยศาสตร์ ด้วยเหตุนี้ จึงไม่แปลกเลยเมื่อพระสงฆ์ยอดนิยมของคนไทยส่วนใหญ่มักจะเป็นพระเกจิอาจารย์ประเภทอมน้ำมนต์พ่นน้ำหมาก นิยมแจกวัตถุมงคล อีกด้านหนึ่ง คนไทยก็นับถือพระสงฆ์ ผู้มักน้อย สันโดษ ปฏิบัติธรรม เพื่อความหลุดพ้นจากกองกิเลส เข้าใจว่าคนไทยส่วนใหญ่เคารพนับถือท่านพุทธทาสในคุณสมบัติประการหลังนี้เอง ส่วนความเป็นพระนักคิดชั้นแนวหน้า หรือความเป็นนักปฏิรูปศาสนาชั้นนำของท่านนั้น คนส่วนใหญ่คงไม่รู้จักนอกจากปัญญาชนไทยจำนวนน้อย หรือชาวต่างประเทศเท่านั้น หากจะตั้งคำถามว่า ท่านพุทธทาสมีความหมายอย่างไรต่อยุคสมัยของเรา ข้อนี้คงตอบได้ไม่ยากนัก แต่คงเข้าใจได้ลำบากสำหรับผู้คนในสังคมบริโภคนิยมสมัยใหม่ที่ท่านพุทธทาสเรียกว่า สังคมกินกาม เกียรติ หรือสังคมประโยชน์นิยมที่รู้จักแต่ความสุข ที่เกิดจากการบริโภคมาก ๆ หรือเอามาเป็น “ตัวกู...ของกู” ให้มาก ๆ ด้วยเหตุนี้เอง ไสยศาสนาจึงยังดำรงอยู่ได้ในสังคมบริโภคนิยมสมัยใหม่เพราะช่วยสร้างให้เกิดความหวังในโชคลาภ หรือความรู้สึกมั่นคงในชีวิตทางวัตถุนั่นเอง ในแง่สังคม ก็คงยอมรับว่าในโลกสมัยใหม่ “ศาสนา” ยังมีอิทธิพลต่อพฤติกรรม ความเชื่อและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคม อิทธิพลดังกล่าวมีทั้งในทางบวกและทางลบ ซึ่งน่าเสียดายว่า เมื่อแก่นแท้ของศาสนาถูกกลบเกลื่อนลบเลือนไป ไสยศาสนาหรือศาสนากระพี่ทั้งหลายก็แผ่อิทธิพลในทางติดลบงมงายมากขึ้น ตรงนี้เองที่ท่านพุทธทาสได้ก้าวเข้ามีบทบาท สำคัญ กล่าวคือ ท่านช่วยปฏิรูปศาสนาให้แสดงพลังในทางสร้างสรรค์ต่อสังคม หากไม่มีขบวนการศาสนาอย่างสวนโมกข์เกิดขึ้นเมื่อ 60 ปีที่แล้ว พุทธศาสนาที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันนี้ก็คงเป็นพุทธศาสนาในมิติเก่าเพียงด้านเดียว คือ ศาสนาพิธีกรรมมีแต่การสอดมนต์ท่องบ่นภาษาที่ฟังแล้ว คนฟังไม่เข้าใจ หากจะมีการสอนอยู่บ้างก็เน้นในเรื่องการบำเพ็ญทาน รักษาศีลซึ่งเป็นเพียงรูปแบบที่วนเวียนอยู่แต่เรื่องกรรมเก่า นรก สวรรค์ ชาตินี้ ชาติหน้า ส่วนภาวนาก็หนักไปในทางสมถกรรมฐาน บริกรรมคาถาอาคม เพ่งนิมิตกันไปตามแต่ครูบาอาจารย์สำนักไหนกจะนำปฏิบัติ พุทธศาสนาแนวนี้ถ่ายทอดกันมาจาก “คัมภีร์วิสุทธิมรรค” ซึ่งเป็นตำราที่แต่งขึ้นโดยพระพุทธโฆษาจารย์ อรรถกถาจารย์ชาวลังกาทวีป เมื่อพ้นปีที่แล้ว มีการนำคติความเชื่อของลัทธิศาสนาพราหมณ์เข้ามาปะปนเป็นอันมาก ไทยรับเอาคัมภีร์นี้มาเป็นหลักอธิบายพุทธศาสนาตั้งแต่กรุงสุโขทัย ภายหลังได้นำมาเป็นหลักสูตรของเปรียญธรรม 9 ประโยค จนกระทั่งปัจจุบัน ความจริงการอธิบายพุทธศาสนาแบบนครสวรรค์ ของคัมภีร์วิสุทธิมรรคมีประโยชน์ในสังคมไทยสมัยโบราณที่เป็นชุมชนชนบท แต่เมื่อสังคมพัฒนาซับซ้อนขึ้น มีความเจริญทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น การอธิบายพุทธศาสนาแบบมิติเดียว อาจไม่สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ท่านพุทธทาสเป็นพระสงฆ์ไทยรูปแรกที่กล้าปฏิเสธคัมภีร์วิสุทธิมรรคว่ามิใช่แก่นแท้ของพุทธศาสนาโดยหันไปหาคำสอนจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าโดยตรง ซึ่งสามารถค้นคว้าได้จากพระไตรปิฏก โดยเฉพาะพระสุตตันตปิฏก (พระสูตร) และพระวินัยปิฏก ข้อน่าสังเกต คือ นักปฏิรูปศาสนา (Reformist) มักมุ่งกลับไปหา “เนื้อแท้” ของศาสนา ซึ่งเรียบง่ายและทันสมัยอยู่เสมอ และพ้นจากรูปแบบ ประเพณีพิธีกรรม ซึ่งเป็นเปลือกกระพี้ของสังคมแต่ละยุคที่ห่อหุ้มอยู่ “สวนโมกขพลาราม” เป็นนวัตกรรมทางศาสนาที่ท่านพุทธทาส ต้องการให้เป็นแบบอย่างของ “วัดแท้” ที่หลุดพ้นจากรูปแบบและเนื้อบกของวัดที่สร้างกันมา ตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยอยุธยา หลุดพ้นจากอิทธิพลของลังกาวงศ์สมัยสุโขทัย กลับไปหาอารามที่เรียบง่ายในสมัยพุทธกาล ด้วยเหตุนี้สวนโมกข์จึงไม่มีสิ่งก่อสร้างอันอลังการ์ราคาหลายสิบล้าน มีแต่ “โบสถ์ธรรมชาติ” ตามพุทธบัญญัติคือ อาศัยรุกขชาติที่ขึ้นอยู่โดยรอบ เป็นต่างผนังโบสถ์ กำแพงแก้ว มีร่มไม้ต่างชายคา มียอดไม้เป็นช่อฟ้าหางหงส์ ในช่วงแรก ๆ สวนโมกข์มีแต่รูปปูนปั้นสมัยสาญจีของอินเดีย (ราว พ.ศ. 400 – 600) ยังไม่มีพระพุทธรูปแทนองค์พระพุทธเจ้า แต่จะใช้สัญลักษณ์เช่น เป็นความว่าง (สุญญตา) หรือเป็นรูปดอกบัว และธรรมจักรแทน ในคราวที่ท่านพุทธทาสได้รับนิมนต์ให้ขึ้นมาแสดงปาฐกถาครั้งแรกที่กรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ. 2483 ท่านได้แสดงธรรมเทศนาด้วยการพูดเรื่อง “วิถีแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม” โดยมีประเด็นสำคัญว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่คนยึดถือตามรูปแบบประเพณีนั้น อาจเป็นเสมือนภูเขาหิมาลัยที่ขวางกั้นไม่ให้เข้าถึงพระนิพพานได้ การพูดครั้งนั้นเองที่ทำให้ท่านถูกโจมตีว่าเป็น “คอมมิวนิสต์” หลังจากที่ก่อตั้งสวนโมกข์ในช่วงแรกก็ถูกกล่าวหาว่าเป็น “พระบ้า” มาแล้ว ยิ่งเมื่อท่านพยายามนำเอาหลักพุทธธรรมขั้นปรมัตถ์กลับมาสอนใหม่ก็ยิ่งถูกโจมตีว่าสอนยากเกินไป ฟังไม่รู้เรื่อง หรือมิฉะนั้นก็ถูกกล่าวหาว่าเอาปรัชญาของฝ่ายมหายานมาสอน ทั้งนี้เพราะการศึกษาพุทธศาสนา 2 ประการซึ่งเรียกว่า “ไตรสิกขา” ประกอบด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ในวัฒนธรรมไทย เน้นเพียงสองประการแรก การศึกษาทางด้าน “ปัญญา” นั้น ถูกละเลยไปมาก ท่านพุทธทาสเป็นพระนักปฏิบัติรูปแรกของไทยผู้นำเอาส่วนที่เป็น “ปัญญา” ของศาสนากลับมาย้ำสอนอีกครั้งในโลกสมัยใหม่ อาทิ หลัก อิทัปปัจจยตา ที่ว่าด้วยสรรพสิ่งล้วนเกี่ยวข้องเป็นเหตุปัจจัยของกันและกัน หรือให้ทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง ไม่มี “ตัวกู...ของกู” หรือ ตถตา สอนให้เห็นว่าทุกสิ่งไม่ควรยึดมั่นถือมั่น และอตัมยตา อันเป็นสุดยอดแห่งพุทธธรรมที่สอนให้ปล่อยวางอย่างเด็ดขาด ท่านเคยปรารภว่า หากชาวพุทธไม่รู้จักถ้อยคำเหล่านี้ ก็เหมือนเสียชาติเกิด แต่การกลับไปหา “แก่นพุทธธรรม” ของท่านพุทธทาส มิใช่เป็นการย้อนเส้นทางโบราณ หากเป็นการกลับไปอย่างทันสมัยและเป็นวิทยาศาสตร์ กล่าวได้ว่า สวนโมกข์เป็นวัดที่สอนธรรมะลึกซึ้งที่สุด ด้วยวิธีการที่ทันสมัยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการริเริ่มใช้อุปกรณ์ทางโสตทัศนศึกษาและวิทยุกระจายเสียงสอนธรรมะ การสร้างโรงภาพยนตร์ทางวิญญาณสื่อธรรมะด้วยภาพปริศนาธรรมสมัยใหม่ให้สนุกเหมือนดูหนัง แทนการดูภาพจิตรกรรมฝาผนังแบบเก่า ๆ หรือการทำสระน้ำ นาฬิกา เพื่อเป็นนิทรรศการสอน “นิพพาน” ในชีวิตประจำวันอย่างง่าย ๆ ตามคติเก่าที่ท่านพุทธทาสได้มาจากเพลงกล่อมเด็กพื้นฐาน เป็นต้น ท่านต้องการให้ “สวนโมกขลาราม” เป็นห้องทดลองค้นคว้าทางจิตใจอย่างเป็นวิทยาศาสตร์เพื่อ “โมกขะ” ความเป็นอิสระหลุดพ้น สวนโมกข์เป็นวัดป่าแห่งแรกที่ประสานการเรียนทฤษฎีกับการปฏิบัติเข้าด้วยกัน ซึ่งเดิมพระฝ่ายปริยัติ (ทฤษฎี) และฝ่ายปฏิบัติ มักจะแยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด ปัจจุบันคำยาก ๆ อย่าง อิทัปปัจจยตาหรือสุญญตา เริ่มติดริมฝีปากปัญญาชนไทยมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ไม่ว่าจะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้เพียงใดก็ตาม การที่ท่านพุทธทาสฝ่าฟันอุปสรรคมาได้ตลอดระยะเวลากว่า 60 ปีนั้น ก็ด้วยสติปัญญาและการฝึกฝนอบรมตนเองจนมีความรู้จริงในเรื่องที่ท่านเผยแพร่ ท่านยังโชคดีที่ได้รับการสนับสนุนจากพระผู้ใหญ่ผู้มีใจเป็นธรรมมาโดยตลอด เช่น เมื่อคราวที่เพิ่งก่อตั้งสวนโมกข์ได้เพียง 5 ปี และกำลังถูกโจมตีดังที่ท่านกล่าวไว้เองว่า “ขณะนี้กำลังถูกคนส่วนใหญ่หาว่าแหวกแนวหรืออุตริวิตถาร หรือถึงกับหาว่าสถานที่นี้เป็นที่เก็บพวกพระซึ่งเป็นบ้า” ท่านก็ได้รับการสนับสนุนจากสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) ซึ่งถือได้ว่าเป็นพระผู้ใหญ่ระดับสูงสุดของคณะสงฆ์เวลานั้น เพราะเจ้าประคุณสมเด็จองค์นี้เป็นถึงประธานกรรมการมหาเถรสมาคม ซึ่งทำหน้าที่บัญชาการคณะสงฆ์แทนพระองค์สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงชินวรสิริวัฒน์รวมทั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันด้วย แต่กระนั้น จนบัดนี้ สวนโมกช์ก็ยังตนเป็นเป้าโจมตีอย่างรุนแรงจากคนบางกลุ่มในการทำงานของท่าน เช่น ถึงกับมีขบวนการอนุรักษ์ศาสนา ขบวนการหนึ่งกล่าวหาท่านว่าเป็น “เดียรถีย์ทาส” หรือเมื่อไม่นานมานี้ก็มีบางกลุ่มกล่าวหาท่านว่าสอน “เพี้ยน"” หรือถึงกับกระทบกระเทียบสวนโมกข์ว่าเป็น “ดีสนีย์แลนด์” แม้จะเป็นพระมหาเถระผู้มีชื่อเสียงมากแล้ว ท่านพุทธทาสก็ยินดีรับฟังคำวิจารณ์เหล่านี้ด้วยใจเป็นกลาง ไม่เคนโต้ตอบด้วย ท่านชอบปะทะสังสรรค์ทางความคิดในเรื่องของเนื้อหาและหลักการมากกว่าจะก่อนความขัดแย้งในเรื่องของตัวบุคคล สิ่งเหล่านี้เป็นหลักที่ท่านยึดถือในการทำงานมาโดยตลอดและสามารถผ่านอุปสรรคมาด้วยดี ท่านเผยแพร่ธรรมะด้วย “จิตว่าง” ไม่ยึดติดในลาภยศ ชื่อเสียง จึงไม่เดือดร้อนที่จะคอยแก้ต่างให้ตนเองเพื่อรักษาภาพพจน์ชื่อเสียง ท่านเคยกล่าวไว้เป็นอนุสสติแก่คนรุ่นหลังไว้ว่า “การรักษาชื่อเสียง” คือการกระทำของคนทุจริตหลอกลวง คนบริสุทธิ์แท้จริงไม่ต้องกังวลในการรักษาชื่อเสียงแม้แต่น้อย... ชื่อเสียงที่ต้องรักษา คือ ชื่อเสียงที่ได้มาโดยทุจริตหลอกลวง รักษาเพื่ออย่าให้เปิดเผยขึ้นว่าหลอกลวง เป็นกังวลอย่างที่ใจไม่มีโอกาสบริสุทธิ์ พุทธบุตต์ทุกคนไม่มีกังวลในการรักษาชื่อเสียง มีกังวลแต่การทำความบริสุทธิ์เท่านั้น เมื่อได้ทำความบริสุทธิ์ มองเห็นชัดเจนใจอยู่แล้วว่า นี่มันบริสุทธิ์ เป็นธรรมแท้ใครจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม เราจะต้องทำด้วยความพยายามอย่างสุดชีวิต จะมีชื่อเสียงหรือไม่นั้น อย่านึกถึงเลยเป็นอันขาด จะกลายเป็นเศร้าหมองและหลอกลวงไปไม่มากก็น้อย” ปัจจุบัน ภาพลักษณ์ของสวนโมกข์และท่านพุทธทาสในฐานะที่สอนธรรมะอย่างเป็นวิทยาศาสตร์กลายเป็นที่รับรู้และเข้าใจคนส่วนใหญ่แล้ว อย่างน้อยที่สุด พุทธทาสสายสวนโมกข์ต่อต้านไสยศาสตร์ โดยมีสหธรรมิกคือ ท่านเจ้าคุณพระเทพวิสุทธิเมธี (ปัญญานันทะภิกขุ) และพระพยอม กัลยาโณช่วยเผยแพร่ คุณูปการของท่านพุทธทาสอีกประการหนึ่งซึ่งมีความหมายอย่างมากต่อยุคร่วมสมัย และต่ออนาคตของเรานั่นคือ ความเป็น “นักสากลนิยม” มีปัญญาชนไทยและชาวต่างประเทศจำนวนน้อยเท่านั้นที่มองเห็นความสำคัญของ “ปรากฏการณ์พุทธทาส” ในแง่นี้ ท่านพุทธทาสเคยปรารถว่า เมืองไทยเป็นเมืองพุทธอยู่ที่เปลือกกระพี้ ไม่สามารถสื่อกับโสกสากลได้ แต่ก่อนเมื่อชาวต่างประเทศหันมาสนใจพุทธศาสนาแบบเถรวาทก็มักจะมองไปที่ลังกาและพม่า เพราะมีพระสงฆ์และปัญญาชนพุทธที่มีความรู้พุทธศาสนาอย่างแตกฉานและสื่อความเข้าใจเป็นภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี เดี๋ยวนี้พระสงฆ์หรือคนไทยเราเองถ้าจะเรียนต่อวิชาพุทธศาสนาในระดับสูงก็ยังต้องไปเรียนที่ศรีลังกา อี.เอฟ. ชูเมกเกอร์ เอง เมื่อเขียนเรื่อง “เศรษฐศาสตร์ชาวพุทธ” ก็ได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนาในพม่า ท่านพุทธทาสมีความประสงค์จะให้เมืองไทยเป็นแหล่งพุทธศาสนาสำหรับสากลด้วย ท่านจึงอุทิศตนศึกษา “ลัทธิของเพื่อ” ไม่ว่าจะเป็นแนวมหายาน คริสต์ อิสลาม แนวคิดเชิงสังคมของตะวันตก แม้แต่ลัทธิคอมมิวนิสต์ ตลอดจนติดตามข่าวสารบ้านเมืองและความเคลื่อนไหวทางศาสนาทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ แม้จะมีความรู้จากโรงเรียนเพียงมัธยม 2 ในระบบการศึกษาระบบเก่า แต่ท่านพุทธทาสก็อ่านและแปลภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี ภายในแวดวงพุทธศาสนาด้วยกัน ท่านได้ศึกษาทั้งมหายานและวัชรยาน จนได้แปล “คัมภีร์เว่ยหล่าง” และ “ฮอนโป” อันเป็นคัมภีร์หลักของเชน ในด้านวัชรยานท่านได้นำภาพปฏิจจสมุปบาทอย่างธิเบต มาใช้อธิบายในสวนโมกข์จนเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายและท่านกับองค์ดาไลลามะประมุขของวัชรนิกายก็ได้พบปะสนทนาธรรมะกันอย่างใกล้ชิดถึงสองครั้ง ท่านยังศึกษาคัมภีร์ไบเบิลของคริสต์ศาสนาและคัมภีร์อัลกุรอ่านของอิสลาม ท่านเป็นผู้มิใช่คริสตชนท่านแรกที่ได้รับนิมนต์ให้ไปแสดงปาฐกถาสำคัญประจำปีของสภาคริสตจักรแก่งประเทศไทยที่เชียงใหม่ และได้เรียนหนังสือชุด “สอนพุทธศาสนาผ่านคัมภีร์ไบเบิล” และ”ใจความแห่งคริสตธรรมเท่าที่พุทธบริษัทควรทราบ” ในส่วนของศาสนาอิสลามนั้นท่านยังเปิดให้ตีพิมพ์เรื่องที่เรียนมาจากนักศึกษาฝ่ายอิสลามลงในวารสาร “พุทธศาสนา” ของสวนโมกข์ ซึ่งเป็นเวทีเผยพร่แนวความคิดของสวนโมกข์ในยุคแรก การที่ท่านเปิดใจกว้างสู่โลกทางปัญญานอกกระแสพุทธแบบของไทยออกไปมิใช่เพราะท่านต้องการเป็นมิชชันนารี หากท่านเคยตั้งใจว่า “ปณิธานแห่งชีวิตของข้าพเจ้ามี 3 ข้อ คือ ให้พุทธศาสนิกชน หรือศาสนิกชนแห่งศาสนาใดก็ตามเข้าถึงความหมายอันลึกซึ้งสุดแห่งศาสนาของตนหนึ่ง, ทำความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนาหนึ่ง, ถึงเพื่อมนุษย์ให้ออกมาเสียจากวัตถุนิยมหนึ่ง, และข้าพเจ้าได้พยายามเพื่อความสมบูรณ์แห่งปณิธานเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา” ที่สำคัญยิ่งกว่านี้คือ ท่านได้นำหลักธรรมทางศาสนาเข้าไปมีบทบาทในการหาทางออกให้กับปัญหาสังคม ท่านเป็นพระสงฆ์ไทยรูปแรกที่พูดเรื่อง “พุทธธรรมกับเจตนารมณ์ประชาธิปไตย” และพุทธธรรมกับสันติภาพ” และพุทธศาสนากับปัญหานิเวศน์วิทยา และธัมมิกสังคมนิยม ตลอดจนความคิดเรื่อง “ธรรมดา” ที่ท่านต้องการยกฐานะของสตรีเพศให้สามารถปฏิบัติธรรมได้ทัดเทียมกับบุรุษเพศ ท่านเตือนคนรุ่นใหม่อยู่เสมอว่า “หากศีลธรรมไม่กลับมาโลกาจะวินาศ” ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าชาวต่างประเทศที่สนใจพุทธศาสนาหรือสนใจศาสนาในระดับสากล หรือที่เรียกว่า “Ecumenical” นั้นจะต้องศึกษา ผลงานของท่านพุทธทาส ปัจจุบันทุกมหาวิทยาลัยที่มีแผนกสอนวิชาศาสนาทั้งในยุโปและอเมริกาเหนือล้วนศึกษางานของท่าน ปัจจุบันมีการแปลงานสำคัญของท่านเป็นภาษาอังกฤษไม่น้อยกว่า 150 เล่ม ภาษาฝรั่งเศสไม่น้อยกว่า 15 เล่ม และภาษาเยอรมนี 8 เล่ม นอกจากนั้นยังแปลเป็นภาษาจีน อินโดนีเซีย ลาว และตากาล็อคอีกด้วย กล่าวได้ว่า ในประวัติศาสตร์ไทยท่านพุทธทาสมีผลงานที่เป็นหนังสือแปลสู่ต่างประเทศมากที่สุด ในโลกพุทธศาสนาสากลเวลานี้ บุคคลชั้นนำทางพุทธศาสนาที่ทั่วโลกยอมรับมีอยู่ 3 ท่าน คือ องค์ดาไลลามะ แห่งวัชรยาน ท่านพุทธทาส แห่งเถรวาท และท่านติช นัท ฮันท์ แห่งนิกายเซน ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี นักคิดชั้นนำฝ่ายอุบาสกเคยกล่าวไว้ว่า “ศาสนาธรรมที่จะมีผลต่อโลกทั้งโลกได้ จะต้องมีความเป็นสากล นี้เป็นสิ่งที่สำนักสวนโมกขพลาราม ได้ทำมากที่สุดอันเป็นการตระเตรียมธรรมะไว้สำหรับโลกโดยแท้ การอุบัติขึ้นของ “พุทธทาส” จึงมิใช่ปรากฏการณ์เพียงชั่วครู่ชั่วยามในชั่วอายุขัยของเราเท่านั้น แต่จะส่งทอดความหมายและคุณูปการไปไกลในศาสนทรรน์และประวัติศาสตร์ ภูมิปัญญาของสังคมไทยและโลก การที่สามัญชนระดับท้องถิ่นและผ่านการศึกษามาในระบบเพียงเล็กน้อย แต่สามารถขึ้นมาสร้างสรรค์ความมั่นคงทางสติปัญญาจนกลางเป็นนักคิดคนสำคัญแห่งยุคได้นั้น นับเป็นปรากฏการณ์ที่มีความหมายมาก หากสังคมไม่สังเกตเห็นความหมายดังกล่าว สังคมนั้นก็คงไม่มีวันเติบโตเห็นความหมายดังกล่าว สังคมนั้นก็คงไม่มีวันเติบโต ไม่มีอะไรที่เป็นความภาคภูมิใจของตนเอง ต้องคอยเดินตามหลังสังคมอื่นตลอดไป แต่เหนืออื่นใด “พุทธทาสภิกขุ” เป็นพยานบุคคลชั้นนำ” ผู้ทรงเหลืออยู่เพียงไม่กี่ท่านในสังคมไทยเรานี้ที่ได้มาใช้ชีวิตร่วมยุคสมัยกับเรา แต่ได้แสดงให้เราประจักษ์แล้วว่าชีวิต “โลกุตตระ” ในท่ามกลางโลกียวิสัยนั้นยังมีอยู่จริงไม่มีความเห็น