หากเอ่ยถึง บ้านนอกกับในเมือง ผมเชื่อว่าทุกๆท่านคงจะมีนิยามในใจที่ใกล้เคียงกัน แต่หากผมตั้งคำถามว่า บ้านนอกกับในเมือง มีจุดเหมือนและจุดต่างกันอย่างไร ผมเชื่อว่าทุกๆท่านมีคำตอบ แต่ผมไม่แน่ใจว่าจะใกล้เคียงกันเพียงใด คำตอบน่าจะขึ้นอยู่กับการรู้จักบ้านนอกหรือในเมืองมากเพียงใด
ในทัศนะของคนหน้าดำๆ และเป็นเด็กบ้านนอกอย่างผม เห็นว่าบ้านนอก มักจะถูกแต่งตั้งโดยผู้รู้หรือนักพัฒนาหรือนักวิชาการบางท่าน บางกลุ่ม ให้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า ความล้าสมัย ไม่พัฒนา คนบ้านนอกเป็นพวกหูหนา ตาเถื่อน ซึ่งต้องใช้ความทันสมัย จากในเมืองมาทำให้บ้านนอกพัฒนา ด้วยการบอกว่าสิ่งนี้ดีกว่า
สำหรับ คำว่า ในเมือง มักจะถูกแต่งตั้งโดยผู้รู้หรือนักพัฒนาหรือนักวิชาการบางท่าน บางกลุ่ม ให้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า ความทันสมัย ได้พัฒนาแล้ว คนในเมืองเป็นพวกหูแจ้ง ตาสว่าง คนในเมืองมักจะบอกคนอื่นๆว่า ทำอย่างเรา ซิ
ในเมืองมักจะเอาเปรียบบ้านนอกเสมอ แม้กระทั่งการแผ่ขยายของสิ่งที่เราเรียกว่า ความเจริญ คนทั่วไปมักพูดว่า บ้านนอกมีความเป็นในเมืองมากขึ้น แต่ไม่เคยได้ยินว่า ในเมืองมีความเป็นบ้านนอกมากขึ้น และหากมองหาจุดเหมือน จะมีสิ่งหนึ่งที่คนบ้านนอกกับคนในเมือง พูดเหมือนกัน คือ คำว่า โอ้ …โห !
เมื่อคนบ้านนอกเข้าไปในเมือง จะพบกับความตื่นตา ตื่นใจ ได้พบเห็นรถราวิ่งขวักไขว่ เห็นสิ่งแปลกใหม่ มากมาย จึงมักอุทานว่า โอ้ …โห !
เมื่อคนในเมืองออกไปบ้านนอก จะพบกับการตื่นตา ตื่นใจ ได้พบเห็นความโล่งสบาย ไปไหนมาไหนมีคนทักทาย เป็นญาติมิตร ชีวิตจึงรู้สึกสดใส จึงมักอุทานว่า โอ้ …โห !
ลองคิดเล่นๆนะครับ ต่อจาก โอ้ …โห คนบ้านนอกกับคนในเมือง จะพูดว่า อย่างไร
โอ้...โห..ชอบบ้านนอกค่ะ
แปลกนะค่ะ ทำไมคำว่าบ้านนอก จึงหมายถึง ความล้าสมัย ไม่พัฒนา คนบ้านนอกเป็นพวกหูหนา ตาเถื่อน
แต่เวลาพูดว่า เมืองนอก กลับหมายถึง ความเลิศ หรู ทันสมัย ไฮโซ
คำว่าบ้านนอกมาจากไหนค่ะ พอจะทราบมั้ยค่ะ
สวัสดีครับคุณครูศักดิ์พงศ์
อืมม์... ครูให้คิดเล่นๆ แบบนี้ ผมขอคิดต่อในมุมมองของคนในเมืองนะครับ ผมเป็นคนชอบออกไปเที่ยวบ้านนอกและในเมืองอื่นๆ ครับ
เป็นผมไปบ้านนอกคงจะ โอ้ โห... แล้วต่อว่าสดชื่นจัง ทุ่งนาป่าไม้เขียวจัง สบายใจจัง (เพราะมาเที่ยว ไม่ต้องคิดเรื่องงาน)
ผมเคยคิดอยากไปอยู่บ้านนอกอยู่เหมือนกันนะครับ คิดว่าตัวเองแน่ และสามารถใช้ชีวิตเรียบง่ายได้ แต่คิดไปคิดมาแล้ว ผมคงไปได้เป็นพักๆ มากกว่า จะให้ไปอยู่เลยนั้นคงยากครับ โดยพื้นฐานเป็นคนเมืองก็ต้องติดกับชีวิตแบบนี้ เป็นความคุ้นเคย และติดความสบายน่ะครับ
ผมชอบที่คุณครูบอกว่า "ไม่เคยได้ยินว่าในเมืองมีความเป็นบ้านนอกมากขึ้น" จังเลยครับ จริงๆ แล้วผมเชื่อว่ามีนะครับ เพียงแต่เรามองว่าเป็นเรื่องไม่พัฒนา ก็เลยไม่พูดกันเสีย ผมว่าวิถีชีวิตสองระบบนี้เชื่อมโยงกันเหนียวแน่เสียด้วยซ้ำ ดูเรื่องอาหารการกินสิครับ ส้มตำไม่ใช่ของคนเมือง แต่คนเมืองชอบกิน แน่นอนครับ ส้มตำถ้าขายตามปั๊มน้ำมัน ก็ต้องบอกว่าไม่พัฒนา แต่ถ้าขายในภัตรคาร นั่นพัฒนาแล้ว เพราะมันถูกนำเสนอในบริบทของคนเมือง
อีกเรื่องที่ผมชอบคือเวลาผมขึ้นรถไฟฟ้าแล้วได้ยินคนคุยกันเป็นภาษาอีสาน หรืออู้คำเมือง ผมว่าน่ารักดี คือรู้สึกว่าเรามาจากที่ไหนก็ควรภูมิใจและรู้จักตัวเอง
ตรงนี้แหละครับที่คนเมืองไม่มี บางทีมันก็รู้สึกเหงาราวกันว่าเราเป็นคนไร้รากเหมือนกันนะครับ
สวัสดีค่ะท่าน ผอ...เม็กดำ
ขอบคุณมากค่ะท่าน
สวัสดีครับท่าน ผอ.ดร.ศักดิ์พงศ์ เม็กดำ 1
. ....................................................
สวัสดีครับ
ผมเคยสัมผัสกับคนในเมืองที่มาเยือนบ้านนอก มักพูดว่า....ที่นี่น่าอยู่จัง อากาศก็ดี มองท้องฟ้ายามค่ำคืนก็เห็นดาวเดือนชัดเจน
ในทางกลับกัน เมื่อคนบ้านนอกเข้ามาในเมือง มักพูดว่า...โอ๊ย จ้างให้มาอยู่ก็ไม่มาหรอก