ในยุคของ
Information Age
ที่ข้อมูลข่าวสารแต่ละชนิดถูกผลิตขึ้นและส่งต่อ
ถ่ายโอนจากผู้ผลิตข้อมูลไปยังกลุ่มเป้าหมายของการได้รับข้อมูลชุดหนึ่งๆในแต่ละวินาที
ถูกผลิตขึ้นมาในปริมาณที่นับไม่ถ้วน
และลักษณะข้อมูลที่ถูกผลิตขึ้นมานั้น
ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของการนำเสนอ
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการสื่อสารกันเองภายในองค์กรเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน
เช่น ข้อมูลที่บริษัทผลิตออกมาเพื่อวางแผนงานประจำปี
หรือแม้แต่การจัดทำ Organization Chart
เพื่อให้เข้าใจบทบาทหน้าที่และการติดต่อกันภายใน เป็นต้น หรือ
ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่องค์กรต่างๆผลิตข้อมูลเพื่อสื่อสารให้บุคคลภายนอกได้รับข้อมูลชุดนั้นโดยตรง
เช่น หน่วยงานของรัฐบาลที่ต้องการเผยแพร่ความรู้
ข่าวสารแก่ประชาชนในเรื่องต่างๆ เช่น ข้อกฎหมาย พระราชบัญญัติ
ภาษีอากร ฯลฯ
โดยที่ลักษณะของการผลิตข้อมูลนั้น ผู้สร้างข้อมูล(Inventor) นำสิ่งที่ไม่มีตัวตน ถ่ายทอดออกมาเป็นข้อความส่งผ่านให้แก่ผู้รับสาร (Receiver) โดยที่ข้อมูลชุดดังกล่าว อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบให้แก่กลุ่มของสังคม (Society) ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมได้ ดังนั้นการสร้างข้อมูลที่ดีควรจะมีความถูกต้อง ชัดเจนของข้อมูลเพื่อให้เกิดความเข้าใจสารที่ตรงกัน และโดยหน้าที่และความรับผิดชอบแล้ว การที่จะตรวจสอบข้อมูลชุดหนึ่งๆว่าถูกต้องหรือไม่ เป็นหน้าที่โดยตรงของผู้สร้างข้อมูลชุดนั้น แต่อย่างไรก็ดีในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าการเข้ามารับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าว เป็นการเกี่ยวข้องกับทุกฝ่ายที่ต้องมีการตรวจสอบความถูกต้องร่วมกันทั้ง 3 ฝ่าย โดยเรียงลำดับตามความระดับความรับผิดชอบ กล่าวคือจากทั้งในส่วนของผู้สร้างข้อมูล ผู้รับข้อมูล และกลุ่มของสังคมที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ข้อมูลดังกล่าวมีความถูกต้องและสมบรูณ์ที่สุด
เริ่มจากในกลุ่มของผู้ผลิตข้อมูล (Inventor) ถือได้ว่าเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบโดยตรงต่อความถูกต้องของข้อมูลที่ต้องเผยแพร่ออกไป ดังนั้นภาระความรับผิดชอบโดยทั้งหมดขึ้นอยู่กับผู้สร้าง แต่อย่างไรก็ดีผู้สร้างข้อมูลก็เป็นเพียงผู้ที่ต้องรับข้อมูลจากหัวหน้า หรือผู้บังคับบัญชาในองค์กรให้ผลิตข้อมูลดังกล่าวออกมาตามคำสั่งที่ได้รับ ดังนั้นข้อมูลที่ถูกส่งผ่านออกมา อาจเป็นข้อมูลที่สามารถมีความตั้งใจให้เสนอข้อมูลที่บิดเบือนได้ โดยที่ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของการนำเสนอข้อมูลชุดนั้นๆ ว่ามีเจตนาที่จะส่งสารเพื่ออะไรบ้าง ในแถบทุกองค์กรที่แสวงหาผลประโยชน์ทางธุรกิจนั้น ย่อมจะต้องคำนึงถึงตัวเลขทางการเงินและภาพลักษณ์ขององค์กรเป็นหลัก ดังนั้นการเสนอข้อมูลที่ต้องเผยแพร่แก่สาธารณชนนั้นจำเป็นต้องมีการเปิดเผย หลีกเหลี่ยง บิดเบือนและปกปิดข้อมูลที่มีจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ธุรกิจโดยตรง
และในกลุ่มก้อนขององค์กรหนึ่งที่เป็นประเด็นต่อการวิพากษ์วิจารณ์ของสื่อมวลชนแขนงต่างๆ
ล้วนแต่ต้องรับข้อมูลโดยตรงจากรัฐบาล
หรือองค์กรต่างๆเพื่อนำประเด็นที่ได้นำเสนอต่อไป
ดังนั้นข้อมูลอะไรก็ตามที่ได้รับมา
ฝ่ายสื่อมวลชนจะนำไปเผยแพร่เช่นดังนั้น
แหล่งให้ข้อมูลหลักจึงเป็นจุดที่ต้องส่งผ่านข้อมูลที่เป็นจริงเช่นกัน
และภายใต้อำนาจที่รัฐสามารถครอบงำสื่อได้
จึงไม่เป็นการยากนักนักที่จะไม่เสนอความจริงแก่ประชาชนและนำผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มที่มีผล
ประโยชน์ในลักษณะที่ผู้ผลิตข้อมูลทำงานภายใต้องค์กรหนึ่งๆที่ต้องประกอบไปด้วยการทำงานร่วมกัน
ในหลายๆแผนก เช่น บริษัทสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์
นิตยสาร วารสาร ฯลฯ
นอกเหนือจากความรับผิดชอบของผู้ผลิตข้อมูลในเรื่องความถูกต้องของเนื้อหา
จำเป็นต้องมีผู้ตรวจสอบเนื้อหาของแต่ละฝ่ายร่วมตรวจสอบความถูกต้องก่อนตีพิมพ์เสมอ
เช่น บรรณาธิการฝ่ายข่าว บรรณาธิการฝ่ายบันเทิง บรรณาธิการฝ่ายโฆษณา
รวมไปถึงเจ้าของสำนักพิมพ์ และฝ่ายอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
ดังนั้นข้อมูลชุดหนึ่งๆที่ถูกผลิตในองค์กรจึงต้องประกอบไปด้วยหลายฝ่ายที่ต้องร่วมกันตรวจสอบ
ความถูกต้องก่อนจะส่งผ่านข้อมูลสู่สาธารณะเป็นสิ่งที่พึ่งกระทำ
เพื่อเป็นการรักษาภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือขององค์กรที่ต้องนำเสนอความจริงแก่ประชาชน
ให้รับทราบร่วมกัน จุดประสงค์หลักของผู้ส่งสารคือ
การสื่อข้อความไปยังผู้รับสารให้ได้รับสิ่งที่ตนต้องการถ่ายทอด
ดังนั้นนอกจากในส่วนของผู้สร้างสรรค์ข้อมูลแล้ว ผู้รับข้อมูล
( Receiver)
จึงเป็นอีกฝ่ายหนึ่งที่ต้องพิจารณาความถูกต้องของเนื้อหาเช่นกัน
ผู้อ่านควรมีวิจารณญาณส่วนบุคคลที่ต้องไตร่ตรองถึงข้อมูลด้วยตนเองว่า
จะเชื่อในเนื้อหาที่กล่าวมาหรือไม่
เนื่องจากข้อมูลในปัจจุบันล้วนแล้วแต่สามารถบิดเบือนความจริงได้ตลอดเวลา
ดังนั้นเราเองควรพิจารณาด้วยความคิดที่รอบครอบก่อนตัดสินใจเชื่อข้อมูลชุดนั้นๆ
ดังเช่นข้อมูลขยะมากมายที่ส่งผ่านมาทางอินเตอร์เน็ตที่ผู้ใช้จะต้องกรองความถูกต้องเอง
ดังเช่นหลายๆกรณีที่มีการส่งข่าวในแง่ลบกับดารา นักแสดงต่างๆ
หรือแม้กระทั่งนักการเมือง เพื่อมุ่งหวังให้เกิดความเสื่อมเสีย
ทำลายภาพลักษณ์ของบุคคลผู้นั้นโดยสร้างเรื่องราวขึ้นมาเอง
ทั้งหมด ซึ่งเป็นเจตนาในทางลบที่ผู้ส่งหวังผลในวงกว้าง
ดังนั้นผู้รับสารเองควรกลั่นกรองและแยกแยะข้อเท็จจริงออกจากข้อมูลดังกล่าวด้วยตัวเอง
และในส่วนที่กว้างออกมา
ผู้รับผิดชอบต่อความถูกต้องของข้อมูลควรจะเป็นส่วนของสังคม
(Society)
หรือองค์กรอื่นๆที่ข้อมูลนั้นได้อ้าง พาดพิงถึง
หรือได้รับผลกระทบโดยทางตรงและทางอ้อม
หลังจากที่ได้มีการส่งผ่านข้อมูลชุดหนึ่งไปถึงกลุ่มก้อนขององค์กรหรือบุคคลหนึ่งๆ
ย่อมมีข้อมูล
ที่ถูกต้อง ผิดพลาด และถูกบิดเบือนจากการนำเสนอ
เพื่อมิให้เกิดความเสียหายแก่องค์กร
ผู้ที่มีผลกระทบโดยตรงควรเป็นผู้ที่ต้องออกมาตรวจสอบ ชี้แจง
แก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นเอง
อาทิเช่นการสร้างสรรค์งานโฆษณาที่มักจะทำให้เกิดผลกระทบต่อกลุ่มบุคคล
หรือสังคมหมู่มากขึ้นได้ เช่น
โฆษณายาสีฟันที่นำเอาคนผิวสีมาเป็นการให้ความหมายในเชิงลบ
หรือการตั้งกระทู้โจมตีกันผ่านทางเว็บไซด์
เป็นอีกกรณีหนึ่งที่ต้องมีผู้ตรวจสอบจากสังคมภายนอกเป็นผู้จัดการ เช่น
ตำรวจcyber เป็นต้น หรือในกรณีในประเทศจีน
ทางการจีนเองเป็นผู้กัดกันการเข้าชมเว็บไซด์ที่ไม่เหมาะสม
โดยทำการบล็อกเว็บไซด์หลายประเภทที่จะมีผลกระทบโดยตรงต่อการบริหาร
บ้านเมือง กล่าวโดยสรุปคือ
ผู้ที่ควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลนั้นควรเป็นหน้าที่ทุกฝ่ายทั้งผู้สาร
ผู้รับสาร
และผู้ได้รับผลกระทบทางสังคมควรเป็นผู้พิจารณาโดยใช้หลักความถูกต้องทางจริยธรรมมา
เป็นเครื่องตัดสินที่จะรับและส่งผ่านความถูกต้องนั้นๆโดยที่ผู้ส่งสารเองควรระมัดระวังคำนึงถึง
ผลกระทบที่ตามมามากที่สุดและเพราะถ้าไม่มีผู้สร้างก็จะเป็นการตัดวงจรการรับรู้ข่าวสารที่ผิดพลาด
ไม่ให้กระจายออกไปสู่ผู้รับและสังคมได้ในที่สุด
4 กรกฎาคม 2548
ไม่มีความเห็น