ผมมีข้อเสนอเพื่อให้การดำเนินงานด้านการสร้างหลักประกันสุขภาพมีประสิทธิภาพและมีความยั่งยืน ซึ่งมองว่าทุกวันนี้เป็นโอกาสดีแล้วที่ประชาชนคนชายขอบ สามารถเข้าถึงบริการได้ระดับหนึ่ง และมีโอกาสถึงส่งต่อไปที่ใหญ่ ๆ ได้เมื่อจำเป็น ไม่เหมือนในอดีตที่ต้องเลือกกลับบ้าน เพราะกลัวว่าไม่มีผืนนาเหลือไว้ให้ลูกก่อนตาย ผมเน้นว่าเป็นมุมมองโดยส่วนตัวที่มองทั้งระบบ แม้จะไม่สมบูรณ์ก็ได้พยายามมองให้ครบ ส่วนข้อมูลสนับสนุนจะไม่ขอนำเสนอ เพราะถึงมี ก็มีไม่ครบ ฉะนั้นข้อเสนอนี้จึงเป็นข้อเสนอเชิงบ่น ๆ ไม่ได้มีความเป็นวิชาการอะไรมาก หากท่านจะสงสัยในแหล่งอ้างอิง และข้อมูลสนับสนุน ก็ขอว่าไม่มีครับ ดังนี้
1. ยังต้องมีการสร้างและปรับความเข้าใจระหว่างผู้ให้บริการด้วยกันเองในแต่ละระดับ และทุกระดับ โดยการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ภายในเครือข่าย และระหว่างเครือข่ายบริการ เรื่องการสร้างหลักประกันสุขภาพ และการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงบริการอย่างเสมอภาคถ้วนหน้ากัน อย่างอย่างสม่ำเสมอ
2. การพัฒนาคุณภาพบริการอย่างต่อเนื่อง ทั้งเชิงสังคมและเทคนิคบริการ โดยเฉพาะเทคนิคบริการก็ต้องให้ประชาชนรับรู้และเข้าใจมากขึ้นไม่งั้น ปัญหาเรื่องความเคลือบแคลงสังสัยของประชาชน จะนำมาซึ่งการร้องเรียนตามสิทธิ และผู้ให้บริการหลักจะหนีหายจะระบบจนผลิตเพิ่มไม่ทัน แม้ตัวไม่หาย เพียงเอาใจออกไป ปัญหาคุณภาพเชิงสังคมก็จะยิกตามมาติด ๆ อีกเรื่องหนึ่ง
3. การพัฒนาบุคลากรสายสนับสนุน
เพื่อให้เกิดความใกล้ใจ
เป็นบุคลากรที่เน้นการสร้างสุขภาพโดยการพึ่งตนเองของชุมชน
น่าจะเป็นสิ่งสนับสนุนไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการผลิตแพทย์
เพราะต้นทุนถูกกว่า กลับมาแล้วฝังตัวอยู่ในชุมชนได้เลย
คิดเป็นตำบลว่าจะมีสักกี่คนนอกจากหมออนามัย บุคลากรเหล่านี้ผมเห็นว่า
มรภ.ผลิตได้ ใช้การประสานกับ สสจ.ในการเรียนการสอน โดยให้
อบต.เป็นเจ้าภาพให้ทุน และบรรจุใน อบต.
โดยรับงบอุดหนุนจากโครงการไปในส่วนของเงินเดือน
สามารถทำให้เกิดขึ้นจริงได้ เรื่องนี้ที่ มรภ.สงขลา ได้พยายามทำ
ซึ่งผมได้เห็น แต่ติดที่คนสนใจน้อย เพราะไม่เห็นโอกาสของความก้าวหน้า
และมองไม่เห็นภาพว่าจะออกมาทำอะไร
4. ระบบส่งต่อที่ดี
เป็นเครือข่ายการให้บริการของสถานีอนามัย PCU โรงพยาบาลชุมชน
โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลเฉพาะทาง
เชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน โดยประชาชนได้รับทราบตั้งแต่เริ่มต้น
โดยมีฐานคิดว่าระบบส่งต่อไม่ใช่เครื่องมือในการปิดกั้นประชาชน
แต่เป็นเครื่องมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในระบบบริการแทน
ทั้งนี้ต้องมีการกำหนดค่ารักษาตามกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วม (DRGs)
ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงของต้นทุน
และการส่งเสริมให้เอกชนเข้าร่วมโครงการมากขึ้น
เหมือนในระบบประกันสังคม
5. เรื่องกองทุนคุ้มครองและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการให้และรับบริการ เหมือนที่มีใน ม.41 ตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 แต่ต้องขยายไปให้ถึงผู้ให้บริการให้มากกว่านั้น และต้องครอบคลุมทุกสิทธิทั้งระบบ ไม่งั้นจะดูแปลก ๆ แปล่ง ๆ เหมือนเช่นทุกวันนี้
6. เรื่องใหญ่ ๆ แต่ต้องพูดถึงด้วย คือ การเงินการคลังของระบบหลักประกันสุขภาพที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง การจัดสรรก็ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบหลาย ๆ ด้าน เช่น จำนวนประชากร กลุ่มอายุ ภาระโรค พื้นที่เฉพาะ โดยเฉพาะภาระงานหรือจำนวนผู้ป่วย (กรณีที่ใช้บริการข้ามเขต ในช่วงแรก ๆ ที่สถานบริการยังมีคุณภาพแตกต่างกันเช่นนี้) ฯลฯ รวมทั้งการคงแยกเงินเดือนออกจากงบเหมาจ่ายไว้ก่อน
7. ทบทวนระบบประกันสุขภาพที่รัฐสนับสนุนทั้ง 3 ระบบ คือ ระบบประกันสังคม ระบบสวัสดิการข้าราชการฯ/รัฐวิสาหกิจ และระบบประกันสุขภาพตามนโยบาย 30 บาทฯ เรื่องการนำทรัพยากรมาใช้ร่วมกันได้ตามความเหมาะสม การจัดบริการที่เชื่อมต่อกันได้ ชุดสิทธิประโยชน์พื้นฐานที่ไม่แตกต่างกันมากนัก
8. ให้ประชาชนยืนยันสิทธิด้วยบัตรประจำตัวประชาชน ใช้เลข 13 หลัก ตรวจสอบสิทธิว่าอยู่ในกลุ่มใด หากไม่ใช่สิทธิในระบบประกันสังคม หรือระบบสวัสดิการข้าราชการฯ/รัฐวิสาหกิจ ก็ต้องถือว่าเป็น ระบบประกันสุขภาพตามนโยบาย 30 บาทฯ ตามที่กฎหมาย (พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545) ระบุไว้ ยึดหลักการสำคัญคือ ความเสมอภาค ประสิทธิภาพ คุณภาพ มีกติกากลาง ๆ ที่ยืดหยุ่นในทุกสิทธิ
9. อันนี้สำคัญมาก คือ การสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ ที่ประชาชนพึงได้รับและขั้นตอนการใช้บริการให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
10. อันนี้สำคัญที่สุดในระยะยาว คือ ประชาชนในการสร้างและส่งเสริมสุขภาพของตัวเอง โดยร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บุคลากรในระบบเดิมยังคงเป็นพี่เลี้ยงสนับสนุน และเป็นผู้ให้บริการ ที่ว่าไม่เพียงพอก็น่าจะพอ หรือเกือบพอ
ทั้ง 10 ข้อที่เขียนบันทึกขึ้นนี้ เขียนไว้หลายวันแล้ว ลังเลที่จะนำมาลงพิมพ์ไว้ เพราะรู้ว่ายากหากไม่ขยับที่ส่วนหัว แต่ก็ขอดันทุรังอีกสักครั้ง