การวิ่งเพื่อสุขภาพ
การวิ่งเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิคที่ส่งผลให้เกิดการรับออกซิเจนของร่างกายดีขึ้น เพราะทำให้หัวใจ หลอดเลือด ปอด กล้ามเนื้อ และอวัยวะอื่น ๆ แข็งแรงนอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้วิ่งคลายความตึงเครียดทางจิตใจ และมีอารมณ์แจ่มใส
อุปกรณ์ในการวิ่ง เสื้อกางเกงที่สวมใส่ควรควรทำด้วยวัสดุที่ซับเหงือได้ดี ควรเป็นเสื้อแขนสั้น กางเกงไม่รัด แน่นที่รอบเอว เป้ากางเกงหลวม ร้องเท้าหุ้มส้นพอดีกับขนาดและรูปเท้า พื้นรองเท้าควรหนาและนุ่ม
สถานที่วิ่ง ควรมีพื้นเรียบไม่เป็นหลุ่มเป็นบ่อ ไม่เอียงและชันมากเกินไป
เวลาวิ่ง เลือกเวลาวิ่งที่สะดวกและสามารถทำได้เป็นประจำสม่ำเสมอได้ ควรหลีกเลี่ยงการวิ่งหลัง รับประทานอาหารอิ่มใหม่ ๆ และการวิ่งที่อากาศร้อนจัด
การวิ่งทำให้ร่างกายทุกส่วนได้ออกกำลังกาย ในระยะเริ่มต้นควรวิ่งเหยาะ ๆ ก่อน หากรู้สึกเหนื่อยมากควรเปลี่ยนเป็นเดิน เมื่อหายเหนื่อยแล้วจึงวิ่งต่อ เมื่อร่างกายแข็งแรงดีแล้วจึงเพิ่มการวิ่งให้มากขึ้น
โดยเพิ่มระยะเวลา หรือระยะทางหรือความเร็วในการวิ่งทีละน้อย
หลักของการวิ่ง
1. ใช้ท่าวิ่งที่เป็นธรรมชาติ ไม่เกร็ง เวลาลงเท้าใช้ส้นเท้าสัมผัสพื้นก่อนจึงวางเท้าเต็ม แล้วยกส้นเท้าขึ้น เข่าไม่ยกสูงมากและไม่เหยียดสุดลำตัว ศรีษะตั้งตรงข้อศอกงอเล็กน้อย และกำมือหลวม ๆ
2. ควรใช้ความเร็วที่รู้สึกเหนื่อยจนต้องหายใจแรง แต่ไม่ถึงกับต้องหายใจทางปาก หรือมีอาการหอบ เมื่อวิ่ง 4 - 5 นาที ควรมีเหงื่อออก แล้ววิ่งต่อไปได้เกิน 10 นาที ควรวิ่งวันละครั้ง นานครั้งละ 20 - 60 นาที ใน 1 สัปดาห์ควรวิ่งให้ได้อย่างน้อย 3 วัน
3. ก่อนและหลังการวิ่งทุกครั้งควรอบอุ่นร่างกาย และผ่อนคลายร่างกายประมาณ 4-5 นาที โดยวิ่งเหยาะ ๆ ด้วยความเร็วที่น้อยกว่าที่ใช้วิ่งจริง และทำกายบริหารเหยียดกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย
อาการที่แสดงว่าควรหยุดวิ่ง
1. เวียนศรีษะ คลื่นไส้ หรือหน้ามืดเป็นลม
2. รู้สึกคล้ายหายใจไม่ทัน
3. ใจสั่น แน่น เจ็บที่บริเวณหน้าอก
4. ลมออกหู หูตึงกว่าปกติ
5. การเคลื่อนไหวร่างกายควบคุมไม่ได้
ถ้ามีอาการดังกล่าวขณะวิ่ง ควรชลอความเร็วในการวิ่งลง ถ้ายังมีอาการอยู่ให้เปลี่ยนเป็นเดิน หากไม่หายให้หยุดวิ่งหรือนอนราบจนกว่าอาการจะดีขึ้น การวิ่งในวันต่อไปควรลดความเร็วและระยะทางลง
ถ้าเห็นว่าอาการยังไม่หายให้รีบปรึกษาแพทย์
ไม่มีความเห็น