ในปี ค.ศ. 1975 เพนเดอร์ (Pender) ได้พัฒนาแบบจำลองการป้องกันสุขภาพที่กล่าวถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อกระบวนการ ตัดสินใจและการปฏิบัติของปัจเจกบุคคลในการป้องกันโรค จุดเน้นของบทบาทการพยาบาลตามแนวคิดของเพนเดอร์ในสมัยนั้นเน้นที่การป้องกันและคงไว้ซึ่งสุขภาพของสาธารณชน ต่อมา เพนเดอร์ ได้เห็นความจำกัดของมโนทัศน์การป้องกัน สุขภาพ คือ เป็นมโนทัศน์ทางสุขภาพเชิงลบเพราะพฤติกรรมส่วนใหญ่จะเป็นการหลีกเลี่ยงแต่การยกระดับสุขภาพ หรือมีความเป็นอยู่ที่ดีนั้นบุคคลต้องได้รับการส่งเสริมให้มีพฤติกรรม ส่งเสริมสุขภาพซึ่งเป็นมโนทัศน์เชิงบวก เพนเดอร์จึงเสนอแบบจำลองการส่งเสริมสุขภาพในปี ค.ศ. 1982 และมีการปรับปรุงแบบจำลองเป็นระยะซึ่งแบบจำลองสุดท้ายได้ปรับปรุงในปี ค.ศ. 2006 ซึ่งจะกล่าวรายละเอียดต่อไป
1. ข้อตกลงเบื้องต้นของแบบจำลอง
1. บุคคลแสวงหาภาวการณ์ของชีวิตที่สร้างสรรค์โดยการแสดงความสามารถด้านสุขภาพที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตน
2. บุคคลมีความสามารถในการสะท้อนการตระหนักรู้ในตนเอง รวมทั้งความสามารถในการประเมินสมรรถนะตนเอง
3. บุคคลให้คุณค่าแก่การเจริญเติบโตในทิศทางบวกและพยายามที่จะบรรลุความสำเร็จในการยอมรับความสมดุลระหว่างการเปลี่ยนแปลงกับการมั่นคง
4. บุคคลแสวงหาการควบคุมพฤติกรรมของตนเอง
5. บุคคลซึ่งประกอบด้วยกาย จิต สังคม มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมและความเป็นอยู่อย่างต่อเนื่อง
6.บุคลากรด้านสุขภาพเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อมระหว่างบุคคลที่มีอิทธิพลต่อบุคคลตลอดช่วงชีวิต
7. การริเริ่มด้วยตนเองในการสร้างแบบแผนความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับ
สิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
2. สาระของทฤษฎี
แบบจำลองการส่งเสริมสุขภาพของเพนเดอร์ (Pender, 2006 : 1 – 12) มีพื้นฐานมาจากแนวคิดด้านการคิดรู้ซึ่งประกอบด้วยความคาดหวังต่อผลลัพธ์ของการปฏิบัติพฤติกรรม (Outcome expectancies) จากทฤษฎีการให้คุณค่าการคาดหวัง และความคาดหวังในความสามารถของตนเอง (Self-efficacy expectancies) จากทฤษฎีการเรียนรู้ทางปัญญาสังคม นอกจากนี้ การพัฒนาแบบจำลอง การส่งเสริมสุขภาพได้พัฒนามาจากการสังเคราะห์ผลการวิจัยต่างๆที่เกิดจากการทดสอบแบบจำลองโดยการศึกษาตัวแปรหรือมโนทัศน์ย่อยๆในแบบจำลองซึ่งแบบจำลองที่ได้ปรับปรุงใน ปี ค.ศ. 2006 นี้ (ภาพประกอบที่ 1 ) สามารถสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างมโนทัศน์ต่างๆ ที่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับปัจจัยที่ทำให้บุคคลเกิดแรงจูงใจในการปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ รวมทั้งแนวทางในการสร้างสมมติฐานสำหรับการนำไปทดสอบหรือการทำวิจัยตลอดจนผสมผสานผลงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับมโนทัศน์ในแบบจำลองการส่งเสริมสุขภาพ
ภาพประกอบที่ 1 แบบจำลองการส่งเสริมสุขภาพฉบับปรับปรุง (Health Promotion Model Revised)
ที่มา (Pender, N.J., Murdaugh, C.L. & Parsons, M.A., 2006 : 50)
3. มโนทัศน์หลักของแบบจำลอง
มโนทัศน์หลักของแบบจำลองส่งเสริมสุขภาพ ดังภาพประกอบที่ 1 ประกอบด้วย 3 มโนทัศน์หลัก ได้แก่ ประสบการณ์และคุณลักษณะของปัจเจกบุคคล อารมณ์และการคิดรู้ที่เฉพาะเจาะจงกับพฤติกรรม และผลลัพธ์ด้านพฤติกรรมโดยอธิบายปัจจัยที่มีความสำคัญหรือมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ (Pender, N.J., Murdaugh, C.L. & Parsons, M.A., 2006 : 51 - 57) ดังนี้
1. ลักษณะเฉพาะและประสบการณ์ของบุคคล (Individual Characteristics and Experiences)
ลักษณะเฉพาะและประสบการณ์ของบุคคลที่มีผลต่อการปฏิบัติพฤติกรรม ใน มโนทัศน์หลักนี้เพนเดอร์ได้เสนอมโนทัศน์ย่อย คือ พฤติกรรมที่เกี่ยวข้อง และปัจจัยส่วนบุคคล โดยมโนทัศน์ทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมสุขภาพบางพฤติกรรมหรือในบางกลุ่มประชากรเท่านั้น
1.1 พฤติกรรมที่เกี่ยวข้อง (Prior related behavior)
จากการทบทวนงานวิจัยเรื่องปัจจัยด้านพฤติกรรมนั้น พบว่าพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องนี้จะมีอยู่ประมาณ ร้อยละ 75 ของการวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ โดยพบว่า ตัวทำนายการเกิดพฤติกรรมที่ดีที่สุดตัวหนึ่ง คือ ความบ่อยของการปฏิบัติพฤติกรรมที่เหมือนคล้ายกับพฤติกรรมที่พึงประสงค์ โดยพฤติกรรมที่เคยปฏิบัติในอดีตมีอิทธิพลโดยตรงต่อการปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ เนื่องจากพฤติกรรมที่เคยปฏิบัติมานั้นได้กลายเป็นนิสัย (habit formation) และบุคคลปฏิบัติพฤติกรรมนั้นได้โดยอัตโนมัติโดยอาศัยความตั้งใจเพียงเล็กน้อยก็ปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพได้
1.2 ปัจจัยส่วนบุคคล (Personal Factors)
ในแบบจำลองการส่งเสริมสุขภาพ ปัจจัยส่วนบุคคลประกอบด้วย 3 ส่วน ดังนี้
1. ปัจจัยด้านชีววิทยา ได้แก่ อายุ ดัชนีมวลกาย สภาวะวัยรุ่น สภาวะหมดระดู ความจุปอด ความแข็งแรงของร่างกาย ความกระฉับกระเฉง และความสมดุลของร่างกาย
2. ปัจจัยด้านจิตวิทยา ได้แก่ ความมีคุณค่าในตนเอง แรงจูงใจในตนเอง การรับรู้ภาวะสุขภาพของตนเอง
3. ปัจจัยด้านสังคมวัฒนธรรม ได้แก่ สัญชาติ ชาติพันธุ์วรรณนา
วัฒนธรรม การศึกษา และสถานะทางสังคมเศรษฐกิจ
โดยปัจจัยส่วนบุคคลดังกล่าวมีอิทธิพลโดยตรงต่อปัจจัยด้านอารมณ์และ
การคิดรู้ที่เฉพาะกับพฤติกรรมและมีอิทธิพลโดยตรงต่อพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ
2. ความคิดและอารมณ์ต่อพฤติกรรม (Behavior-Specific Cognition and Affect)
เป็นมโนทัศน์หลักในการสร้างกลยุทธ์/กิจกรรมพยาบาล เพื่อสร้างแรงจูงใจให้บุคคลมีการพัฒนาหรือปรีบเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง มโนทัศน์หลักนี้ ประกอบด้วยมโนทัศน์ย่อยทั้งหมด 5 มโนทัศน์ ดังนี้
2.1 การรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบัติพฤติกรรม (Perceived Benefits of Action)
จากการทบทวนงานวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพที่ผ่านมาพบว่าการรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบัติพฤติกรรมนั้นมีอิทธิพลต่อการปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพถึงร้อยละ 61 ซึ่งการรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบัติพฤติกรรมนี้เป็นความเชื่อของบุคคลโดยคาดหวังประโยชน์ที่จะได้รับภายหลังการปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพ มโนทัศน์นี้มีพื้นฐานความเชื่อมาจากทฤษฎีความคาดหวัง การให้คุณค่า (Expectancy-value theory) การรับรู้ประโยชน์จากการปฏิบัติพฤติกรรมเป็นแรงเสริมทำให้บุคคลเกิดแรงจูงใจในการปฏิบัติพฤติกรรมนั้น บุคคลจะปฏิบัติพฤติกรรมตามประสบการณ์ในอดีตที่พบว่าพฤติกรรมนั้นให้ผลทางบวกต่อตนเอง ประโยชน์จากการปฏิบัติพฤติกรรมอาจจะเป็นทั้งประโยชน์ภายนอกและภายใน ยกตัวอย่างเช่น ประโยชน์จากภายใน เช่น การเพิ่มความตื่นตัว หรือการลดความรู้สึกเมื่อล้า ส่วนประโยชน์จากภายนอกนั้น เช่น การได้รับรางวัลเงินทอง หรือความเป็นไปได้ของการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่เกิดจากผลของการปฏิบัติพฤติกรรม ในระยะแรกนั้นประโยชน์จากภายนอกจะเป็นที่รับรู้มากกว่า แต่ประโยชน์ภายในนั้นจะส่งผลให้เกิดแรงจูงใจในการปฏิบัติพฤติกรรมอย่างต่อเนื่องมากกว่า ขนาดของความคาดหวังและความสัมพันธ์ชั่วคราวของประโยชน์ของการปฏิบัติพฤติกรรมนั้น ก็เป็นผลกระทบอย่างหนึ่งต่อพฤติกรรมสุขภาพ ความเชื่อในประโยชน์ของการปฏิบัติพฤติกรรมหรือความคาดหวังผลที่เกิดขึ้นในทางบวกก็เป็นสิ่งจำเป็น แม้ว่าอาจจะไม่สำคัญแต่ก็จำเป็นในพฤติกรรมเฉพาะบางอย่าง
2.2 การรับรู้อุปสรรคในการปฏิบัติพฤติกรรม (Perceived Barriers to Action)
จากการทบทวนงานวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพที่ผ่านมาพบว่า การรับรู้อุปสรรคของการปฏิบัติพฤติกรรมนั้นมีอิทธิพลต่อการปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพถึงร้อยละ 79 ซึ่งการรับรู้อุปสรรคในการปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ หมายถึง ความเชื่อหรือการรับรู้ถึงสิ่งขัดขวางที่ทำให้บุคคลไม่สามารถปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งอุปสรรคดังกล่าวประกอบด้วย อุปสรรคภายในและภายนอกของบุคคล อุปสรรคภายใน ได้แก่ ความขี้เกียจ ความไม่รู้ ไม่มีเวลา ไม่พึงพอใจ ถ้าต้องปฏิบัติพฤติกรรมและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพฤติกรรม เป็นต้น อุปสรรคภายนอก ได้แก่ สถานภาพทางเศรษฐกิจ ขาดแคลนสิ่งเอื้ออำนวยในการปฏิบัติพฤติกรรม เช่น ค่าใช้จ่ายสูง การรับรู้ว่ายาก สภาพอากาศ และความไม่สะดวก เป็นต้น อุปสรรคในการปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพนี้อาจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงหรือเป็นสิ่งที่บุคคลคาดคิดก็ได้ ซึ่งมีผลต่อความตั้งใจที่จะกระทำพฤติกรรม และมีผลต่อแรงจูงใจของบุคคลให้หลีกเลี่ยงที่จะปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ
2.3 การรับรู้ความสามารถของตนเอง (Perceived Self-Efficacy)
การรับรู้ความสามารถของตนเอง หมายถึง ความเชื่อมั่นของบุคคล
เกี่ยวกับความสามารถของตนเองในการบริหารจัดการและกระทำพฤติกรรมใดๆ ภายใต้อุปสรรคหรือสภาวะต่างๆในการปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ เมื่อบุคคลเชื่อว่าตนเองสามารถปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพภายใต้อุปสรรคหรือสถานการณ์ต่างๆได้และรับรู้ว่าตนเองมีความสามารถในการปฏิบัติพฤติกรรมในระดับสูงจะมีอิทธิพลต่อการรับรู้อุปสรรคในการปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพลดลงได้และการรับรู้ความสามารถของตนเองในการปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ มีอิทธิพลโดยตรงต่อการปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพและมีอิทธิพลโดยอ้อมต่อพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ โดยผ่านการรับรู้อุปสรรคในการปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพและความมุ่งมั่นต่อแผนการปฏิบัติพฤติกรรมที่วางไว้
2.4 ความรู้สึกที่มีต่อพฤติกรรม (Activity-Related Affect)
ความรู้สึกที่มีต่อพฤติกรรม หมายถึง ความรู้สึกในทางบวกหรือลบที่
เกิดขึ้นก่อน ระหว่าง และหลังการปฏิบัติพฤติกรรม การตอบสนองความรู้สึกนี้อาจมีน้อย ปานกลาง หรือ มาก การตอบสนองความรู้สึกต่อพฤติกรรมใดๆ ประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 องค์ประกอบ ได้แก่ ความน่าสนใจของกิจกรรมหรือพฤติกรรม (activity-related) ความรู้สึกต่อตนเองเมื่อปฏิบัติพฤติกรรม (self-related) หรือสภาพแวดล้อมหรือบริบทที่เกี่ยวข้องกับการทำกิจกรรม (context-related) ความรู้สึกที่ดีหรือความรู้สึกทางบวกมีผลต่อแรงจูงใจของบุคคลในการปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ แต่ถ้าบุคคลเกิดความรู้สึกต่อการปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพในทางลบก็จะมีผลให้บุคคลหลีกเลี่ยงในการปฏิบัติพฤติกรรมดังกล่าว เพราะเมื่อเร็วๆนี้ได้มีการเพิ่มเติมความรู้สึกที่มีต่อพฤติกรรมลงในแบบจำลองการส่งเสริมสุขภาพ มีการศึกษาจำนวนน้อยที่ได้ค้นพบและช่วยสนับสนุนในการอธิบายและอำนาจในการทำนายของแบบจำลอง การศึกษาในอนาคตข้างหน้านี้จำเป็นต้องใส่ในในความสำคัญของความรู้สึกที่มีพฤติกรรมที่ต้องนำมาพิจารณาในพฤติกรรมสุขภาพด้านต่างๆ
2.5 อิทธิพลระหว่างบุคคล (Interpersonal Influences)
อิทธิพลระหว่างบุคคล หมายถึง พฤติกรรม ความเชื่อ หรือทัศนคติของคนอื่นที่มีอิทธิพลต่อความคิดของบุคคล แหล่งของอิทธิพลระหว่างบุคคลที่มีผลต่อพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ ได้แก่ ครอบครัว (พ่อ แม่ พี่ น้อง) เพื่อน และบุคลากรทางสุขภาพ นอกจากนี้ อิทธิพลระหว่างบุคคล หมายความรวมถึง บรรทัดฐาน (ความคาดหวังหรือความเชื่อของบุคคลที่สำคัญ กลุ่มบุคคล ชุมชนซึ่งได้วางมาตรฐานของการปฏิบัติพฤติกรรมเอาไว้) การสนับสนุนทางสังคม (การรับรู้ของบุคคลว่าเครือข่ายทางสังคมของตนเองให้การสนับสนุนทั้งด้านวัตถุ ข้อมูลข่าวสาร และอารมณ์มากน้อยเพียงใด) และการเห็นแบบอย่าง ( การเรียนรู้จากการสังเกตผู้อื่นที่กระทำพฤติกรรมนั้นๆ) อิทธิพลระหว่างบุคคลมีอิทธิพลโดยตรงต่อพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพและมีผลทางอ้อมต่อพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพโดยผ่านแรงผลักดันทางสังคม (social pressure) หรือความมุ่งมั่นต่อแผนการปฏิบัติพฤติกรรม ซึ่งจากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่าอิทธิพลระหว่างบุคคลนั้นมีอิทธิพลต่อการปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ ร้อยละ 57 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ
2.6 อิทธิพลจากสถานการณ์ (Situational Influences)
อิทธิพลจากสถานการณ์ หมายถึง การรับรู้และความคิดของบุคคลเกี่ยวกับสถานการณ์หรือบริบทที่สามารถเอื้อหรือขัดขวางการปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ อิทธิพลสถานการณ์ที่มีต่อพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ หมายความรวมถึง การรับรู้เงื่อนไขที่มาสนับสนุน ความต้องการ และความราบรื่นสุขสบายของสภาพแวดล้อมในการปฏิบัติพฤติกรรม บุคคลมักจะเลือกทำกิจกรรมที่ทำให้เขารู้สึกว่าเข้ากับวิถีชีวิต สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของตนเอง รู้สึกปลอดภัยและมั่นคงเมื่อปฏิบัติพฤติกรรมในสภาพแวดล้อมนั้นไม่ใช่สิ่งที่มาคุกคามซึ่งสภาพแวดล้อมหรือสถานการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ น่าสนใจ รู้สึกคุ้นเคย จึงเป็นสิ่งที่ดึงดูดหรือทำให้บุคคลเกิดแรงจูงใจในการปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพซึ่งจากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่าอิทธิพลจากสถานการณ์นั้นมีอิทธิพลต่อการปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ ร้อยละ 50
3. พฤติกรรมผลลัพธ์ (Behavioral Outcome)
การเกิดพฤติกรรมผลลัพธ์ ประกอบด้วย 3 อย่าง ได้แก่
3.1 ความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติพฤติกรรม (Commitment to a Plan of Actions)
ความมุ่งมั่นต่อแผนการปฏิบัติพฤติกรรม เป็นกระบวนการคิดรู้ที่ประกอบด้วยความตั้งใจที่จริงจังที่จะกระทำพฤติกรรมซึ่งสอดคล้องกับเวลา บุคคล สถานที่ โดยอาจทำร่วมกับผู้อื่น รวมทั้งมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการปฏิบัติพฤติกรรมและการให้แรงเสริมทางบวกในการปฏิบัติพฤติกรรม ความตั้งใจและกลยุทธ์นี้จะเป็นตัวผลักดันให้บุคคลเกิดแรงจูงใจในการปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพ ดังนั้นในแบบจำลองการส่งเสริมสุขภาพ ความมุ่งมั่นต่อแผนการปฏิบัติพฤติกรรมมีอิทธิพลโดยตรงต่อพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ
3.2 ความจำเป็นอื่นและทางเลือกอื่นที่เกิดขึ้น (Immediate Competing Demands and Preferences)
ความจำเป็นอื่นและทางเลือกอื่นที่เกิดขึ้น หมายถึง พฤติกรรมอื่นที่เกิดขึ้นทันทีทันใดก่อนที่จะเกิดพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพตามที่วางแผนไว้และอาจทำให้บุคคลไม่สามารถปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพตามที่ได้วางแผนไว้ พฤติกรรมอื่นเกิดขึ้นเนื่องจากบุคคลไม่สามารถควบคุมตนเอง (Self-regulation) จากความชอบ ความพอใจของตนเองและความต้องการของบุคคลอื่น พฤติกรรมที่เกิดขึ้นโดยทันทีโดยการมุ่งกระทำตามความจำเป็นอื่นถูกมองว่าเป็นพฤติกรรมที่อยู่เหนือตนเอง เป็นสิ่งที่บุคคลสามารถควบคุมได้น้อยเนื่องจากเป็นสิ่งเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ความจำเป็นและทางเลือกอื่น เป็นปัจจัยส่งผลโดยตรงต่อการเกิดพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ และมีอิทธิพลในระดับปานกลางต่อความมุ่งมั่นต่อแผนการปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ อย่างไรก็ตามความจำเป็นอื่นและทางเลือกอื่นที่เกิดขึ้นไม่ควรจะเกิดขึ้นบ่อย เพราะถ้าเกิดขึ้นบ่อยจะแสดงว่าบุคคลพยายามมาหาเหตุผลมาอ้างเพื่อจะไม่ปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ
3.3 พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ (Health-Promoting Behavior)
พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพเป็นจุดสุดท้ายและผลจากการปฏิบัติพฤติกรรมในแบบจำลองส่งเสริมสุขภาพ อย่างไรก็ตามพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพเป็นตัวบ่งชี้โดยตรงต่อการผลลัพธ์ทางสุขภาพที่ประสบผลสำเร็จในผู้รับบริการ พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพนั้นบางส่วนก็ได้บูรณาการเข้ากับการใช้ชีวิตประจำวัน ผลที่ได้ก็คือการปรับภาวะสุขภาพ การเพิ่มความสามารถในการทำหน้าที่ของร่างกาย และการมีคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกช่วงพัฒนาการของมนุษย์
เอกสารอ้งอิง
Pender, N.J. (1987). Health Promotion in Nursing Practice. 2nd (ed).
Connecticut : Appleton & Lange.
. (1996). Health Promotion in Nursing Practice. 3rd (ed).
Connecticut : Appleton & Lange.
Pender, N.J., Murdaugh, C.L. & Parsons, M.A. (2002). Health Promotion in
Nursing Practice. 4th (ed). New Jersey : Pearson Education, Inc.
. (2006). Health Promotion in
Nursing Practice. 5th (ed). New Jersey : Pearson Education, Inc.
ต้องวิเคราะห์ทฤษฎีของเพนเดอร์ค่ะอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมรวมทั้งงานวิจัยด้วยค่ะจะติดต่อเบนเบนได้อย่างไรค่ะ[email protected]
มีวิจัยที่ใช้โมเดลนี้ ในกลุ่มผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจโคโรนารี่ต่างประเทศบ้างไหมค่ะ อยากได้
ลองโหลดเรื่องนี้ไปดูนะคะว่าใช้ได้หรือเปล่า http://www.pubmedcentral.nih.gov/picrender.fcgi?artid=2127433&blobtype=pdf
อยากได้แบบสอบถามเกี่ยวกับการออกกำลังกายที่เกี่ยวกับทฤษฎีของเพนเดอร์ไม่รู้จะหาได้ที่ไหนค้นไม่เจอซักทีมีแนวทางช่วยแนะนำเด็กตาดำๆด้วยนะค่ะ ขอบคุณค่ะ
ถึง คุณsirintip ลองหาให้แล้วนะคะ เจอเรื่องนึง แต่ไม่แน่ใจว่าตรงกลุ่มวัยหรือไม่นะคะลองโหลดไปอ่านนะคะ
บทคัดย่อ => http://doc.clib.psu.ac.th/public7/thesis7/full/246514/246514_ab.pdf
แบบสอบถาม (ภาคผนวก) => http://doc.clib.psu.ac.th/public7/thesis7/full/246514/246514_app.pdf
มีทฤษฎีเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพทั้งหมดมั๊ยคะ อยากได้ เพราะกำลังศึกษาปริญญาเอกอยู่ เลยอยากศึกษาแนวคิด ทฤษฎีที่จะมาประยุกต์ใช้กับชุมชน
ถึง คุณพัชรินทร์ สมบูรณ์
หนูมีเนื้อหาแค่เพนเดอร์ค่ะ...ต้องขอโทษด้วยนะคะ
มีแบบสอบถามเรื่องความรับผิดชอบต่อสุขภาพ และด้านโภชนาการ ด้วยมั้ยคะ และแบบสอบถามการรับรู้ประโยชน์และการรับรู้อุปสรรค ขอบคุณค่ะ
ก่อนอื่นแนะนำตัวนิดนะค่ะ ดิฉันทำงานอยู่ที่ มอ.ค่ะและกำลังสนใจทบ.ข้างต้นค่ะ และกำลังทำวิจัยอยู่ค่ะ......ไม่ทราบว่าคุณ ben ben ลืมลูกศร--> จากความมุ่งมั่นต่อแผนการปฏิบัติพฤติกรรม ไปสู่พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ หรือไม่ เพราะในการกล่าวถึง "ดังนั้นในแบบจำลองการส่งเสริมสุขภาพ ความมุ่งมั่นต่อแผนการปฏิบัติพฤติกรรมมีอิทธิพลโดยตรงต่อพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ"
อันนี้ไม่แน่ใจนะค่ะ เพราะว่าถ้าของปี 2002 มีหนังสืออะค่ะแล้วลูกศรจะโยงต่อกัน
ยังงัยช่วยชี้แนะด้วยนะค่ะ...ขอบคุณค่ะ
ถึง คุณอ๋อย
ตาม model ปี 2006 ว่ามาแบบนี้ค่ะ คือเส้นมีอยู่แล้วจากด้านบนและด้านล่างค่ะ ดูดีๆ ไม่มีจากความมุ่งมั่นค่ะ
ขอบคุณค่ะ..ที่คุณben ben ตอบได้ทันใจค่ะ
แต่ที่ถาม หมายถึงเส้นลูกศรไปทางขวามือนะค่ะระหว่าง ความมุ่งมั่นต่อแผนการปฏิบัติพฤติกรรมมีอิทธิพลโดยตรงต่อพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ เพราะจากข้อความบอกว่า"ดังนั้นในแบบจำลองการส่งเสริมสุขภาพ ความมุ่งมั่นต่อแผนการปฏิบัติพฤติกรรมมีอิทธิพลโดยตรงต่อพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ"
ช่วยดูอีกทีนะค่ะ....คุณ ben ben
กำลังเรียน ป.โท และศึกษาวิเคราะห์ทฤษฎีนี้อยู่ ยังไม่ค่อยเข้าใจและขออนุญาตแลกเปลี่ยนและสอบถามเพื่อความกระจ่างในประเด็น ดังนี้ค่ะ
1. เท่าที่ได้ศึกษา Pender's HPM มีการ Revised แค่1ครั้ง(1996)ไม่เคยทราบว่ามีการRevised ในปี 2006 ด้วยหรือคะ
2.และมีกรอบแนวคิด ดังเช่นที่คุณได้แสดงเพียงแต่ขาดเส้นลูกศรดังที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างCommitment to a Plan of Actions กับ Health-Promoting Behavior ดังที่คุณอ๋อยได้แสดงความเห็นไว้
3.คิดว่า Health Promotion in Nursing Practice (Fifth Edition)ปี 2006 ที่คุณได้อ้างอิงนั้น เป็นหนังสือที่ Dr.Pender ได้เขียนขึ้นและปรับปรุงเป็นครั้งที่5 ซึ่งมีเนื้อหาบางส่วนที่ได้ถูกปรับปรุง เพิ่มเติม และแก้ไขบ้าง
แต่ตัว Model เองก็ยังคงใช้ของปี 1996(Revised)
ขอบคุณค่ะ.....เนื้อหาได้ประโยชน์มากค่ะ
กำลังเรียนทฤษฎีทางการพยาบาล ศึกษาทฤษฎีของคิงอยู่ พี่ ๆ ท่านใดมีข้อมูลรบกวนหน่อยนะคะ
เนื้อหาดีมากค่ะ เป็นประโยชน์มากเลยขอเอาไปใช้ตอนสัมมนาหน่อยน่ะค่ะ ขอบคุณค่ะ
ดิฉันได้ email ไปหาคุณ PENDER ถามถึงความแตกต่างระหว่างเล่ม ปี 1996,2002,2006 ได้คำตอบว่า all the same ค่ะ ตัวโมเดลเหมือนเดิมกับปี 1996 เพียงแต่นำปรับปรุงเล่มให้ใหม่มากขึ้น นี้มันก็ปี2008 แล้วนะคะ ถ้าใช้อ้างปี 1996 อยู่ก็จะยังไงอยู่?
สวัสดีค่ะยากขอความกระจ่างและเนื้อหาที่ทันสมัยของทฤษฎีของเพนเดอร์คะวันก่อนเสนอโครงร่างวิจัยแล้วนำทฤษฎีนี้มาใช้ตอน1996 มี 10 ด้านอาจารย์ว่าโบราณแล้ว...ช่วยให้หนูทันสมัยด้วยนะคะ..ขอบคุณคะ(นำมาศึกษาในผู้สูงอายุค่ะ)จะหาเนื้อหาได้ที่ไหนบ้างค่ะตอนนี้เรียนที่มอ.สงขลาคะ
หนังสือ Health Promotion in Nursing Practice (Fifth Edition)จะหายืมจากห้องสมุดไหนได้บ้างคะ ใครทราบรบกวนบอกต่อหน่อยนะคะ ขอบคุณค่ะ
Health Promotion in Nursing Practice (Fifth Edition)
มีที่ห้องสมุด คณะพยาบาล มหิดล ที่ศิริราชน่ะค่ะ
ถึง คุณอ๋อย และคุณ ben ben
Figure 2-4 Health Promotion Model (Revised) from Pender, N.J., Murdaugh, C.L. & Parsons, M.A., 2006 : 50
มีลูกศรโยงจาก commitment to a plan of action (ความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติพฤติกรรม ) ตรงไปหา health promoting behavior (พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ ) อยู่นะคะ เข้าใจถูกแล้วค่ะ
(พอดีมีหนังสือฉบับ 2006 เล่ยมาแบ่งปันกันค่ะ)
^_^
กำลังจะทำวิจัยในเรื่องการประยุกต์ใช้ทฤษฎีของเพนเดอร์กับการส่งเสริมให้มารับการตรวจมะเร็งปากมดลูก(อะไรประมาณนี้) พยายาม search ดูแล้วก็กลัวจะซ้ำกับคนอื่นจะรู้ได้อย่างไงคะว่ามีคนทำเรื่องนี้หรือยัง
ถึงคุณ B.RA
Figure 2-4 Health Promotion Model (Revised) from Pender, N.J., Murdaugh, C.L. & Parsons, M.A., 2006 : 50
อยากได้หนังสือเล่มนี้นะครับ ไม่ทราบจะหาซื้อ ได้ที่ใหน
รบกวนด้วยนะครับ
pender 5th edition ที่ห้องสมุดคณะพยาบาลศาสตร์จุฬาก็มีนะคะ
แล้วก็อยากทราบว่า1996 2006 ไม่ตางกันเลยเหรอคะ เช่นการวิจัยเพิ่มเติม อะไรเงี้ยค่ะ คืออ่านภาษาอังกฤษยังไม่เก่ง เลยไม่ทราบว่า เหตุผลใดเราถึงเลือกใช้ ปี2006
ขอบคุณที่นำมาวางไว้ให้ได้นำไปใช้ค่ะ
อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเอาไปสัมนา ขอรบกวนคุณเบนเบน ช่วยหาข้อมูลเพิ่มเติม ขอบคุฯคะ
ข้ออนุญาต gop ข้อความหน่อยนะค่ะ
ขอบคุณนะคะ ที่มีปี 2006 ให้ได้ศึกษาเพิ่มเติม
มีงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศที่ใช้ทฤษฎีนี้ในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานบ้างไหมค่ะ
สวัสดีค่ะ ดิฉันกำลังศึกษาในระดับ ปโท และกำลังอยู่ในระหว่างการทำบทที่ 2 ต้องการทฤษฎีของเพนเดอร์ 2006 ค่ะ
ขอคำแนะนำวิธิการประยุกต์ใช้ ทฤษฎีของเพนเดอร์ค่ะ ว่าส่วนความคิดและอารมณ์ต่อการแสดงพฤติกรรม ทำอย่างไรค่ะ จำเป็นต้องใช้ทุกส่วนไหม กำลังทำวิจัยเรื่องการประยุกต์ใช้แบบจำลองส่งเสริมสุขภาพของเพนเดอร์ในเด็กด้อยโอกาส ค่ะ รบกวนอธิบายนะคะ
รบกวนคุณ ben ben หน่อยค่ะ
พอดีจะทำงานวิจัย จะขออ้างอิง ของเนื้อหาด้านบนน่ะค่ะ
ว่าใครเป็นคนแปลค่ะ
ไม่ทราบว่า คุณ ben ben มีมั้ยคะ
ขอบคุณค่ะ
รบกวนถามค่ะว่า ถ้าเราจะทำวิจัยที่ประยุกต์รูปแบบของเพนเดอร์กับการพัฒนาสุขภาพช่องปากเราจะทำได้อย่างไรค่ะ มีคนเคยทำหรือเปล่าค่ะ รบกวนอธิบาย
เบ็นๆลาตายแล้ว 5555 ถามเยอะกัน 5555
ขอขอบคุณ แหล่งข้อมูลและผู้เขียน ค่ะ ขออนุญญาตใช้เป็นประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนกับคณะ นศ.แพทย์ ม.นเรศวร ที่สนใจมาดูงาน HPH ของ ร.พ.เอกชน อย่างต่อเนื่อง มา 2-3 ปี แล้วค่ะ
10 ข้อของ Pender ที่นำมาใช้ในปี 1996 มีอะไรบ้างอะ ช่วยบอกที
อยากทราบว่า จุดเด่นของPender คืออะไรคะ แล้วทฤษฎีเขาแตกต่างจากทฤษฎีคนอื่นอย่างไร. ช่วยบอกทีนะค