๏ โลมแดดสายทอดทิวสู่ผิวเนื้อ โอบอุ่นเจือหนาวลมมาห่มหาย ระยับแสงทอดทางจนพร่างพราย ร้อยความหมายกำซาบลงทาบใจ
๏ แต่ละหยดหยาดรินก็สิ้นแล้ว ยังแต่แว่วฝากย้ำกับคำไข ก็เพียงหยาดน้ำค้างที่จางไป ท่ามเนื้อไอหนึ่งเจ้า..ผู้เฝ้าคอย
๏ ทุกอณูแห่งถวิลระรินผ่าน จากฝุ่นลานผืนย่ำอันต่ำต้อย จรดสรวงงามเรื่อดั่งเนื้อพลอย มาหลอมร้อยรับขวัญอย่างบรรจง
๏ โอบจนอุ่นแทนเจ็บอันเหน็บหนาว ลบเรื่องราวเกาะกุมจากลุ่มหลง ทิ้งเงาร้างปรากฏจนหมดลง พร้อมรอยบ่งเลือนหายกับสายกาล
๏ ปลิดปลิวเถิด..บทตอนวันอ่อนไหว เพื่อแกร่งใจได้ระบัดขึ้นหยัดขาน ถ้อยสำเสียง..เถิดฟัง..ยิ่งกังวาน เมื่อแว่วหวานร่วมร่ำขับทำนอง
๏ กระซิบผ่านธารโศกถึงโตรกผา กี่น้ำตาซับบนความหม่นหมอง ตราบรุ่งแสงระเหยไห้เป็นไอฟอง ใต้ครรลองโชนช่วงแห่งดวงไฟ
๏ โลมแดดผ่านลานพุ่มโกสุมสี แต้มมาลีร่วมล้อมกล่อมสมัย ลบอดีตกรีดรอยจากคอยใคร เหลือเพียงใจหนึ่งร้อย..มาคอยเคียง
๐ ลมโอบรัดสายหมอกและดอกไม้ ปลุกวันใหม่ให้ตื่นด้วยคลื่นหนาว หยดน้ำค้างหยาดรับแสงวับวาว หลังเดือนดาวลับดวงเมื่อล่วงคืน
๐ ภุมรินบินว่อนแล้วร่อนดอม กรุ่นหวานหอมยื้อยุดก็สุดขืน กุสุมกลิ่นหวนลมเข้ากลมกลืน ย่อมแตะตื่นปรารถนาบรรดามี
๐ เมื่อลิขิตสิทธาสถานภาพ ย่อมสืบทราบเหมาะควรทุกส่วนที่ จึงเกื้อการณ์ก่อถวิลและยินดี เฉกมาลีล่อภมรให้ร่อนลง
๐ ไร้สำเนียงเสียงดังเพื่อฟังเพราะ จะหลั่งเซาะโสตสดับความรับส่ง เหลือแต่หวานหอมผกาในป่าดง จักสืบส่งสาปภู่ให้รู้ยอม
๐ บ้าง..เสมอมาลีอันมีกลิ่น จึงกำจายรวยรินให้ถิ่นหอม ผู้หวนหามธุรสฤๅอดออม ผละห่างห้อมรื่นนั้น..ได้ฉันใด
๐ งามประณีตกิริยาที่ปรากฎ ปานเปรียบหอมผการส..สีสดใส เอ่อผกายอบอุ่นละมุนละไม จนบ้าง..ใฝ่ฝันเห็นไม่เว้นวาย
๐ ดอกหญ้าไหว..แดดบ่มเสียงลมร่ำ พร้อมหนาวคร่ำครวญให้อกใจหาย แต่สบรอยเนตรตอบใครลอบชาย แอบเร้นเห็นชม้ายอยู่หลายคราว
๐ ลมโอบรัดสายหมอกและดอกไม้ ปลุกอกใจให้ตื่นด้วยคลื่นหนาว แววในเนตรเลศระยับอยู่วับวาว เหมือนรอก้าวย่างสู่..เดินคู่เคียง
|