การค้นหาประเด็นสงสัยเพื่อใช้ในการหาคำตอบนั้น เมื่อเสร็จสิ้นการการฝึกอบรมในเนื้อหา "การวิจัยชุมชน โดยเนื้อหาสาระ...วิสาหกิจชุมชน" แล้ว ผลที่เกิดขึ้นคือ ทีมงานได้กรอบของเนื้อหาสาระและแผนงานที่จะลงไปทำกับกลุ่มอาชีพ (วิสาหกิจชุมชน) ตำบลโพธิ์พระยา จังหวัดสุพรรณบุรี
การคิดโจทย์ดังกล่าวเป็นการออกแบบการทำงานในห้องเรียน ฉะนั้นเมื่อทีมงานลงไปยังห้องเรียนพื้นที่จริง ก็ได้ชวนแกนนำกลุ่มคุยกันถึงข้อมูลพื้นฐานของกลุ่ม อาชีพที่สมาชิกทำเป็นหลัก ข้อเท็จจริงของการทำอาชีพ ความเป็นอยู่ และอื่น ๆ หลังจากนั้น เราก็นำข้อมูลที่เกิดขึ้นมาประมวลและร่วมกันวิเคราะห์พบว่า ปัญหาของกลุ่มอาชีพก็คือ สมาชิกต้องการลดต้นทุนการผลิต เพราะต้นทุนการทำนาสูง และต้องการผลิตเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้เอง เพราะเมล็ดพันธุ์มีการปนเปื้นและมีข้าวแดงข้าวดีดข้าวเด้ง
ต่อมาทีมงานจึงนำข้อมูลที่เกิดขึ้นไปตรวจสอบกับชุมชนเพื่อรับการยืนยัน ค้นหาแนวทางการแก้ไข และการยอมรับเพื่อปรับเปลี่ยนวิธีการทำอาชีพให้ดีขึ้น จึงตกลงใจที่ "ไปดูงานด้วยกัน" ถึงวิธีการทำนาที่ลดต้นทุนการผลิต (เกษตรอินทรีย์) และวิธีการผลิตเมล็ดพันธุ์ดี รวมทั้งได้นำ "กรณีตัวอย่าง (Best Practice)" มาเล่าให้เกษตรกรฟัง แล้วให้เกษตรกรลองเปรียบเทียบข้อมูลด้วยตนเอง (ข้อมูลของมูลนิธิข้าวขวัญ ข้อมูลของBest Practice ที่มาเล่าให้ฟัง และข้อมูลของตนเองที่ปฏิบัติอยู่จริง) ได้แก่ ต้นทุนการผลิต รายได้ กำไร ผลผลิต และอื่น ๆ ประมาณ 7 เรื่อง ข้อสรุปที่เกิดขึ้นคือ เกษตรกรยอมรับว่า 1) ต้นทุนการผลิตของตนเองสูง 2) ตนเองทำนาแล้วใช้สารเคมีและปุ๋ยเคมีมาก 3) เมล็ดพันธุ์ที่ตนเองใช้นั้นมีการเจือปนและไม่ได้คัดพันธุ์ และ 4) อยากจะทดลองทำ คือ ลดต้นทุนจากค่าปุ๋ยค่ายา และเมล็ดพันธุ์ดี
หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ก็ได้นำข้อมูลดังกล่าวมาประมวลและสรุปโจทย์ที่ชาวบ้านต้องการทำและต้องการค้นหาคำตอบ โดยชาวบ้านได้แบ่งที่นาของตนเองมาเป็นแปลงทดลอง และมีการลงชื่อเพื่อทำการทดลองทำเมล็ดพันธุ์ดีไว้ใช้เอง
ส่วนโจทย์ของเจ้าหน้าที่นั้นคือ 1) จะทำอย่างไรให้ชาวบ้านยอมลดต้นทุนการผลิต 2) มีวิธีการอย่างไรให้เกษตรกรลด ละเลิก การใช้ยาและปุ๋ยเคมี และ 3) จะทำอย่างไรให้เกษตรกรเกิดการเรียนรู้
เรื่องการบริหารจัดการกลุ่ม
ฉะนั้น ข้อสรุปที่เกิดขึ้นคือ ทีมงานได้ประเด็นที่จะจัดเก็บข้อมูลรายครัวเรือนเพื่อหาต้นทุนการทำนา ผลผลิต รายได้ กำไร และสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับอาชีพ โดยใช้แบบสัมภาษณืในการรวบรวมข้อมูล ที่ให้ผู้แทนชุมชน หรือ นักวิจัยชุมชน 4-5 คนในการจัดเก็บข้อมูลตามโจทย์ ที่สงสัย
ส่วนประเด็นของสถานการณ์ ปัญหาอุปสรรค และกลยุทธิ์ในการทำงานวิสาหกิจชุมชนนั้น ได้ทราบข้อมูลพื้นฐานทั่วไปของกลุ่มที่มาจากการสนทนากลุ่ม (Focust Group) และ
การใช้แบบสัมภาษณ์รายครัวเรือน
ในการสรุปโจทย์เพื่อหาคำตอบจึงแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ
1. โจทย์ของชุมชน คือ ต้องการผลิตเมล็ดพันธุ์ดีไว้ใช้เอง และต้องการลดต้นทุนการผลิตข้าว นั้นจะทำได้อย่างไร?
2. โจทย์ของพื้นที่ คือ วิธีการทำให้เกษตรกรเห็นว่า 1) ต้นทุนการทำนาที่สูงนั้น มาจากรายจ่ายอะไรบ้าง? ฉะนั้นจะต้องลดต้นทุนค่าอะไรลงบ้าง? แล้วที่อื่นเขามีวิธีการลดต้นทุนการผลิตกันอย่างไร? และตกลงแล้วของกลุ่มเราจะเลือกทำแบบไหนดี?
2) กระบวนการเรียนรู้ที่จะนำไปช่วยให้เกษตรกรผลิตเมล็ดพันธุ์ดีนั้นเขาทำกันอย่างไร? และ 3) การบริหารจัดการกลุ่มที่เป็นอยู่นั้น ยังอาศัยเจ้าหน้าที่เป็นหลัก ฉะนั้น เราจะมีรูปแบบและวิธีการอย่างไร? ให้เกษตรกรบริหารจัดการกลุ่มด้วยตนเองเป็น
3. โจทย์ของทีมสนับสนุน คือ ตกลงแล้วตอนนี้สถานการณ์วิสาหกิจชุมชนเป็นอย่างไร? เกิดปัญหาอุปสรรคอะไรขึ้นบ้าง? และ 3) เราควรจะมีกลยุทธิ์อะไรบ้าง? ในการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนให้ยั่งยืน
ในการ "ค้นหาประเด็นปัญหา" ที่เกิดขึ้นมาจากการใช้ PAR เข้าไปปรับเปลี่ยนวิธีการค้นหาประเด็นของเจ้าหน้าที่ และประเด็นของเกษตรกรที่ต้องการพัฒนาความรู้และอาชีพของตนเองให้ดีขึ้น โดยคนทุคนเข้ามามีส่วนร่วมในการหาความต้องการ และสรุปว่า "นี่แหละคือสิ่งที่เราต้องการแก้ไข...." ที่เริ่มจากเจ้าหน้าที่ออกแบบรูปแบบการได้มาซึ่งประเด็นปัญหา แล้วนำกระบวนการไปจัดจริงกับกลุ่มอาชีพ จนมั่นใจและได้ข้อสรุปจากกลุ่มอาชีพว่า "นี่แหละคือโจทย์จริง ๆ ของเขา" หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่จึงนำข้อเท็จจริงที่ค้นพบ (ความต้องการ) มาเทียบกับหลักการวิชาการ แล้วสรุปเป็นทางออกของวิธีการทำงานและเนื้อหาที่เจ้าหน้าที่จะนำไปช่วยเกษตรกร ซึ่งประเด็นดังกล่าวก็จะกลายมาเป็น "โจทย์ของเจ้าหน้าที่ที่ต้องการคำตอบด้วยเช่นกัน"
ดังนั้น วิธีการทำงานจึงอยู่ที่วิธีการพัฒนาเจ้าหน้าที่และเกษตรกร ให้นำข้อเท็จจริงมาใช้ในการเทียบเคียงกับหลักการเพื่อหาคำตอบในงานและในอาชีพของเกษตรกรให้เป็น.
ไม่มีความเห็น