คนส่วนใหญ่คิดว่า " ปลงต่อชีวิต" คือ อาการท้อแท้ สิ้นหวัง หมดอาลัยตายอยาก ไม่สู้แล้ว นับเป็นความเข้าใจที่มีต่อคำว่า " ปลงอย่างผิด ๆ ที่เรียกว่า " ปลง " คือ เห็นทุกสิ่งตามความเป็นจริง เห็นทุกอย่างตามความเป็นธรรมดาโลก เป็นการเห็นแจ้งโดยไม่หลอกตัวเองและไม่มีผู้ใดมาหลอกลวงให้หลงได้
ผู้ที่ปลงได้ในชีวิต ย่อมมีจิตใจหนักแน่น มัสติมั่นคง ไม่หวั่นไหวต่อความมีลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และต่อความเสื่อมลาภเสื่อมยศ นินทา ทุกข์ จนที่สุดแม้นเมื่อความตายมาถึง ก็ไม่หวาดหวั่นสะทกสะท้านแต่อย่างใด
คนเราเมื่อมีลาภ ก็มีเสื่อมลาภ เมื่อมียศก็มีเสื่อมยศ เมื่อมีสุขก็มีทุกข์ เมื่อมีสรรเสริญก็มีนินทา เป็นของคู่กันมาเช่นนี้ จะไปถืออะไรกับปากมนุษย์ ถึงจะดีแสนดีมันก็ติ ถึงจะชั่วแสนชั่วมันก็ชมนับประสานอะไร ต้องคิดเสียว่า เขาจะติก็ช่างชมก็ช่าง เราไม่ได้ทำอะไรให้เดือดเนื้อร้อนใจ ก่อนที่จะทำอะไรเราคิดแล้วว่า ไม่เดือดร้อนแก่ตัวเราและผู้อื่น เราจึงทำ เขาจะนินทาว่าใส่ร้ายอย่างไรก็ช่างเขา บุญเราทำกรรมเราไม่สร้างพยายามสงบกาย สงบวาจา สงบใจ ดังกลอนที่ว่า
คนนั่งนิ่ง เขาก็นินทา
คนพูดมาก เขาก็นินทา
แม้แต่คนพูดพอประมาณ เขาก็นินทา
คนไม่พูดนินทา ไม่มีในโลก
คนที่ถูกนินทาอย่างเดียว หรือไม่รับการสรรเสริญอย่างเดียวไม่เคยมีมา แล้วจักไม่มีต่อไป ถึงในขณะนี้ก็ไม่มี
ไม่ต้องถึงขั้นปลงก็ได้มั้งครับ เพียงแต่เราปรับตัวเราให้ทันต่อสภาวะแวดล้อมได้ พอประมาณกับสิ่งรอบตัว ก็น่าจะพอไหวน่ะ
ขอเรียนเชิญทั้งกลุ่มมาร่วมสัมมนาในวันที่๑๓-๑๕ เลยครับ
ดูรายละเอียดได้ที่หน้าจอนะครับ
มาฮ่วมแลกเปลี่ยนเรีัยนรู้ระดับประเทศด้วยกันครับ
สวัสดีครับ .....ศูนย์เรียนรู้ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ครับ ...ที่เขียนมาก็ดีนี่ครับ......ปลงที่เข้าใจว่าธรรมชาติเป็นอย่างนั้น ครับ ถูกต้องครับ เพราะฉะนั้นเรื่องการนินทา ก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ใช่ของพระอริยะสงฆ์ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ครับ อยากฟังคำพูดดี ๆ ไม่นินทา ก็ต้องไปหา พระอริยสงฆ์ ครับ พอหาได้ครับ