เด็กค่าย นักกิจกรรม ไม่จำเป็นต้องเรียนไม่จบ
นักกิจกรรมหลายคน ในช่วงนี้ออกมาส่งสัญญาณที่ ทำให้สังคมเริ่มสับสนว่า ระบบการศึกษาของไทยไม่ได้สร้างนักเปลี่ยนแปลงทางสังคมตัวจริงแล้วหรือไร เพราะ หลายคน ออกมาบอกอย่างหน้าชื่นตาบานว่า เรียนไม่จบ ในระบบการศึกษา แถมยังบอกว่าไม่สำคัญเพราะเขาสำเร็จการศึกษาในชีวิต (ว่าไปนั่น)
อันที่จริงแล้วการที่จะวัดว่าใครประสบความสำเร็จในเรื่องอะไรซักอย่าง มันอาจจะไม่ได้วัดกันที่ว่า คุณจบอะไรมา สำเร็จการศึกษาระดับไหน แต่ ถ้าถามว่า การสำเร็จการศึกษาวัดอะไรได้บ้าง ข้อแรก ๆ ยอมรับว่า วัดระดับความรับผิดชอบที่มี่ต่อตนเอง คนรอบข้างและสังคม เพราะต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การศึกษาไทยมีต้นทุนอยู่และหากใครเข้าสู่ระบบดังกล่าวแล้ว ก็คือการที่ สังคมได้เสียต้นทุนดังกล่าวลงมาแล้ว หากคนที่สังคมเสียต้นทุนร่วมลงมา ไม่สามารถเดินทางไปสู่ปลายทางได้ ล้มเลิกกลางคัน ต้นทุนที่สูญเสียไปก็เท่ากับสูญเปล่าทางการศึกษาไปในช่วงขณะนั้น
นักกิจกรรม หรือเด็กค่าย ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างให้ได้ มีความคิดแตกต่างแปลกแยกได้ แต่ต้องเอาตัวให้รอด อย่าให้ เขาตราหน้า หรือว่าได้ว่า พวกเด็กค่าย นักกิจกรรม เอาตัวไม่รอด แล้วจะไปช่วยใครเขาได้ ?? คนทำงานภาคสังคมหลายต่อหลายคน ก็เป็นนักกิจกรรม เป็นเด็กค่ายมาก่อนด้วยกันทั้งนั้น มุมมองที่จะแตกต่างกัน ของคนทำงานภาคสังคม ที่ เป็นนักกิจกรรม หรือเด็กค่าย ที่ ประคองตัวเองเอาตัวให้รอดในระบบการศึกษา กับคนที่ ละออกมาก่อนจากระบบการศึกษา คือ การเข้าใจในระบบและการทำงานที่ต้องใช้การประสานงานกับระบบ การทำงานแบบประนีประนอมโดยใช้ระบบเป็นตัวขับเคลื่อน ในขณะที่ อีกฝ่าย จะมีความมุ่งมั่น ความมั่นใจในตัวเองแต่จะแฝงไปด้วยอคติที่มีต่อระบบที่ตนเองพ่ายแพ้ออกมา การทำงานอาจจจะประสบความสำเร็จ แต่ที่จะขาดไปคือ มุมมองความเข้าใจต่อระบบ จะทำงานแบบ win-win ระหว่างรัฐและประชาชนไม่ราบรื่นเท่าใด แต่ ข้างฝ่ายประชาชน อาจจะwin แต่ หากฝ่ายรัฐไม่win เข้าบ่อย ๆ จะเกิดอะไรขึ้น ???
ในส่วนตัวเองอยากจะให้ น้อง ๆ นักกิจกรรม เด็กค่าย รุ่นใหม่ ๆ มุ่งมั่นฝ่าฟันนำพาตัวเองให้ผ่านระบบการศึกษาที่ตนเองเข้ามาและใช้ต้นทุนของสังคมที่มีส่วนร่วมให้สำเร็จลุล่วงแล้วหลังจากนั้น จะทำอะไรตามที่ตัวเองวาดฝันไว้ก็ยังไม่สายเกินไป
ไม่มีความเห็น