ความประสงค์ในการบันทึกเรื่องนี้ก็เพราะว่าอยากให้ผู้ที่สนใจในเรื่องนี้ได้รู้ถึงรากเหง้าซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการที่จะทำให้เจริญงอกงามผลิดอกออกผลได้อย่างสมบูรณ์ วัฒนธรรมในการเรียนการสอนของไทยมักจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับที่มาที่ไป ชอบเรียนรู้จากการต่อยอด ทำให้การเรียนรู้ไม่ลึกซึ้ง การดำเนินชีวิตก็เป็นไปอย่างฉาบฉวย ความรู้ฝังลึก(Tacit Knowledge) ที่มีติดตัวอยู่ในแต่ละบุคคลโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลเล็กบุคคลน้อย มักจะถูกมองข้าม ถูกมองว่าด้อยค่า ความรู้เหล่านั้นก็จะตายตามตัวไป
จากการที่พระองค์ได้ทรงเน้นเศรษฐกิจพอเพียงในฐานะยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาประเทศโดยผ่านทางพระราชดำรัส
พระบรมราโชวาท
ตลอดจนทรงปฏิบัติให้เห็นเป็นตัวอย่างในโครงการส่วนพระองค์ต่าง ๆ แล้ว
ที่สุดก็ได้เกิดมีการเห็นความสำคัญของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงโดยในงานสัมมนาวิชาการประจำปี
2542
ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)
เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงผลสรุปของการสัมมนาคือมีความเข้าใจตรงกันว่าแนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไม่ขัดแย้งกับแนวคิดเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก
และสามารถใช้ได้กับทุกภาคการพัฒนา
ตลอดจนสอดคล้องกับเอกลักษณ์ของสังคมไทย
อย่างไรก็ตามยังคงต้องมีการปรับปรุงเพิ่มเติมขยายความโดยคำนึงถึงองค์ประกอบที่สำคัญ
อาทิ ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การมีภูมิคุ้มกันที่ดี ความรู้
ความสมดุล
และความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดผล
ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9
(2545-2549)
ได้มีการระดมความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศเพื่อการกำหนดกรอบวิสัยทัศน์และทิศทางของแผนพัฒนาฯฉบับที่
9 ปรากฏว่าได้มีวิสัยทัศน์ร่วมกันให้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญานำทางในการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาและมีวัตถุประสงค์หลักคือ
การปรับโครงสร้างการพัฒนาประเทศให้เข้าสู่ดุลยภาพ โดยเปลี่ยนกระบวนการพัฒนาประเทศที่มุ่งเน้นการพัฒนาในเชิงปริมาณมาสู่การพัฒนาในเชิงคุณภาพควบคู่ไปกับการสร้างความเป็นธรรมในสังคม
และความสามารถก้าวทันโลกที่จะอำนวยประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ของประเทศ
โดยมียุทธศาสตร์ในการพัฒนา 3
กลุ่มหลักได้แก่
1. การปฎิรูประบบบริหารจัดการให้เกิดธรรมาภิบาล
ในทุกภาคส่วนของสังคม
เพื่อขจัดการทุจริตการประพฤติมิชอบ
2. การสร้างฐานรากของสังคมให้เข้มแข็งและรู้เท่าทันโลกโดยมุ่งพัฒนาคนครอบครัว
ชุมชนและสังคม เป็นแกนหลัก โดยให้ความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพคน
และกระบวนการเรียนรู้
ความเข้มแข็งทางวัฒนธรรมและระบบคุ้มครองทางสังคมในรูปแบบต่างๆ
3. การปรับตัวทางเศรษฐกิจให้เท่าทันโลกและเศรษฐกิจยุคใหม่หรือเศรษฐกิจยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ
เพื่อให้สามารถแข่งขันและร่วมมือได้บนพื้นฐานการพึ่งตนเอง นี่ก็คือความเป็นมาของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงก่อนที่จะกลายมาเป็นกระแสยอดฮิตติดอันดับของสังคมไทยในปัจจุบัน
ความประสงค์ในการบันทึกเรื่องนี้ก็เพราะว่าอยากให้ผู้ที่สนใจในเรื่องนี้ได้รู้ถึงรากเหง้าซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการที่จะทำให้เจริญงอกงามผลิดอกออกผลได้อย่างสมบูรณ์
วัฒนธรรมในการเรียนการสอนของไทยมักจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับที่มาที่ไป
ชอบเรียนรู้จากการต่อยอด ทำให้การเรียนรู้ไม่ลึกซึ้ง
การดำเนินชีวิตก็เป็นไปอย่างฉาบฉวย
ความรู้ฝังลึก(Tacit Knowledge)
ที่มีติดตัวอยู่ในแต่ละบุคคลโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลเล็กบุคคลน้อย
มักจะถูกมองข้าม ถูกมองว่าด้อยค่า ความรู้เหล่านั้นก็จะตายตามตัวไป
พอมีกระแสขึ้นมาก็แห่แหนกันไปขุด ไปหา เช่น
เรื่องของการแพทย์แผนไทย ซึ่งกาลครั้งหนึ่งถูกผู้นำมองว่าโบราณ
คร่ำครึ ขัดขวางในการที่จะพัฒนาประเทศให้ศิวิไลซ์
(Civilizations) สมควรให้ถูกขจัดไปจากสังคมไทย
เดี๋ยวนี้เป็นอย่างไรบ้างทั่วโลกตื่นตัวการรักษาแบบไม่พึ่งพาเคมี
การรักษาแบบการแพทย์ทางเลือก (Alternative Medicines)
ได้รับความนิยมจากผู้มีเงินตรา
ทำให้คนไทยตื่นตัวไปขุดไปหาแล้วจะได้อะไรในเมื่อศพพูดไม่ได้
น่าเสียดายในสมัยนั้นไม่มี สคส.
ไม่เช่นนั้นคงจะหาร่องรอยได้ง่ายกว่านี้
เกษตรอินทรีย์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สามารถทำให้ไทยได้เป็นแชมป์โลกอย่างยั่งยืนโดยไม่ต้องลงแข่งโอลิมปิคให้เสียงบประมาณ
หากความรู้ทีฝังลึกอยู่ในโคตรเหง้าเหล่าบรรพบุรุษของไทยโลกได้ถูกคุ้ยแคะแกะเกาออกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
ถ้าหาก สคส. เกิดเร็วกว่านี้ โรงเรียนชาวนาตั้งขึ้นเร็วกว่านี้
เชื่อได้ว่าสยามประเทศจะเป็นตักศิลาในเรื่องของการกสิกรรมธรรมชาติและเกษตรอินทรีย์
ที่ทั่วโลกต้องมาเรียนรู้
บันทึกเรื่องที่มาที่ไปของเศรษฐกิจพอเพียงอยู่ดี
ๆ แต่เหตุอันใดมาจบลงด้วยเรื่อง KM หรือเป็นเพราะว่า KM
นั้นที่แท้เป็นสิ่งฝังลึกอยู่ในทุกเรื่อง วาน PC
ของสคส.ช่วยตอบหน่อยได้ไหมครับ