ในแต่ละวัน นักเรียนจะมีชั้นเรียนของแต่ละวิชา จำนวน 5 ชั่วโมงต่อ 1 วัน ซึ่งในแต่ละชั่วโมงนักเรียนก็สามารถจัดเก็บความรู้ หรือจัดการความรู้ได้หลายๆครั้งในแต่ละวันทีเดียว ตัวอย่างเช่น ในชั่วโมงเรียนภาษาอังกฤษชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ห้องหนึ่ง นักเรียนได้เรียนรู้เรื่อง Me and My Family จุดประสงค์ของการเรียนในชั่วโมงนี้ ได้แก่ นักเรียนสามารถบอกและเขียนชื่อการลำดับญาติในครอบครัวของตนเองได้ นักเรียนสามารถบอกจำนวนพี่น้องหรือสมาชิกในครอบครัวของตนเองได้ เมื่อนักเรียนทั้งห้องเรียนรู้และสามารถบอกชื่อจำนวนพี่น้องหรือสมาชิกในครอบครัวของตนเองได้แล้ว ผู้เขียนได้นำกระบวนการจัดการความรู้มาปฏิบัติในขั้นตอนนี้เอง คือจัดกลุ่มให้นักเรียนที่มีจำนวนพี่น้องหรือสมาชิกที่มีจำนวนเท่ากันไว้ด้วยกัน เท่ากับได้เป็นพวกเดียวกัน และนอกจากนั้น นักเรียนยังแบ่งจำนวนหรือเพศของพี่น้องหรือสมาชิกในครอบครัวของตนเองได้ นี่เป็นการจัดการความรู้ของวิชาภาษาอังกฤษ ในหน่วยเรื่อง Me and My Family
วิชาภาษาอังกฤษเท่านั้นหรือที่จัดการความรู้ได้ ไม่ใช่เลย ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า ความรู้มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง เราไม่ได้จัดการความรู้เหล่านี้เลย เท่ากับว่า นักเรียนยังไม่รู้จักสรุปกับความรู้ที่ได้เรียนรู้มาให้เป็นหมวดหมู่นั่นเอง ปล่อยให้รู้แล้วรู้เลย ไม่มีความหมายอะไรขึ้นมาหลังจากที่ได้เรียน หรือชั่วโมงเรียนได้ผ่านไปแล้ว เมื่อถึงการเรียนในชั่วโมงและวิชาต่อไป นักเรียนอาจจะเรียนวิชาภาษาไทยเรื่องคำควบกล้ำ เมื่อนักเรียนเรียนรู้จนจบเรื่องแล้ว ครูอาจจะหาคำควบกล้ำมาจำนวนหนึ่ง และให้นักเรียนจัดกลุ่มให้คำควบกล้ำเหล่านี้ การจัดกลุ่ม เช่น คำควบกล้ำ กร กล คล คร ฯลฯ เท่ากับเป็นการจัดการความรู้ในวิชาภาษาไทยในเรื่องของ คำควบกล้ำ ก็ได้ หรือในชั่วโมงเรียนพลศึกษา นักเรียนได้เรียนวิธีการออกกำลังกายแบบบริหารส่วนต่างๆของร่างกาย อันได้แก่ การสะบัดขาทั้งสองข้างสลับกัน นักเรียนเข้าใจแล้วว่า การออกกำลังกายให้ครบทุกส่วนสัดของอวัยวะต่างๆของร่างกายนั้นเป็นเรื่องที่ดี คราวนี้ นักเรียนก็ต้องจัดการความรู้ที่ได้ว่า การออกกำลังกายในท่าใดที่เป็นการออกกำลังกายที่ให้ประโยชน์กับอวัยวะส่วนใด การสะบัดขาทั้งสองข้างสลับกัน ให้ประโยชน์ในการออกกำลังกายส่วนสัดใด เป็นต้น เมื่อสอนให้นักเรียนรู้จักการจัดการความรู้กันดีแล้ว คราวนี้หันมาดูการจัดการความรู้ของครูผู้สอนกันบ้าง ก่อนที่จะจัดการความรู้ ก็ต้องรู้กันก่อนว่า ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 นั้น ประกอบด้วยโครงสร้างสาระวิชาอะไรบ้าง ในแต่ละสาระวิชาประกอบด้วยหน่วยการเรียนรู้เรื่องอะไร แบ่งเป็นมาตรฐาน หรือ หน่วยการเรียนรู้ก็ได้ ก็แล้วแต่ภายในโรงเรียนแต่ละโรงนั้น ยึดรูปแบบการสอนแบบใด เช่น แบบบูรณาการ จะต้องจัดการความรู้ไปตามหน่วยของการเรียนรู้ หากไม่ได้จัดการสอนแบบบูรณาการ จัดไปตามหลักสูตร โครงสร้างของหลักสูตร ก็ต้องมาศึกษากันว่า จะจัดการความรู้ในสาระวิชาต่างๆก่อน แล้วจึงมาจัดการความรู้กับสาระวิชาอื่นๆที่เทียบเคียงกันได้ เช่น กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาอังกฤษกับภาษาไทยนั้น เน้นทักษะการเรียนรู้ ได้แก่ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน จึงจะพบกับ แก่นของความรู้ และดำเนินการไปยัง ขุมของความรู้ ต่อไปได้ ส่วนกลุ่มสาระวิชาอื่นๆ ก็ต้องมาดูสาระหลักสูตรของแต่ละสาระว่าจะสามารถเทียบเคียงกันไปได้หรือไม่ เช่น คณิตศาสตร์กับวิทยาศาสตร์ หรือ สังคมศึกษากับสุขศึกษาพลศึกษา เป็นต้น เมื่อโรงเรียนใดมีการจัดการความรู้ตั้งแต่ระดับนักเรียนในแต่ละกลุ่มสาระวิชา ตลอดจนครูผู้สอนได้มีการจัดการความรู้ด้วยการเล่าเร้าพลังกันทุกๆสาระวิชาแล้ว ก็จะเกิดแก่นของความรู้ และขุมของความรู้ตามมาอย่างมากมายการจัดการความรู้ตามที่ฉันเข้าใจมีเพียงเท่านี้ หากผู้ที่มีความรู้เรื่องการจัดการความรู้อย่างถ่องแท้ ช่วยกรุณาอ่านความคิดของฉัน และบอกฉันด้วยว่า ฉันเข้าใจเรื่องการจัดการความรู้ ถูกต้องแล้ว....หรือยัง
สิริพร กุ่ยกระโทกไม่มีความเห็น