เดินทาง (เที่ยว) แล้วย้อนดูตัว


          กาลครั้งหนึ่งเมื่อสักปีสองปีก่อน ผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปยังดินแดนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลกคะ........

สวิตเซอร์แลนด์

           ทำไมหนอ ใครต่อใครจึงบอกกันนักต่อนักว่าดินแดนแห่งนี้ประหนึ่งสวรรค์บนดินของโลก มันสวยงามขนาดนั้นจริงหรือ เอาเป็นว่าผู้เขียนจะลองพยายามนึกถึงเมื่อครั้งนั้นดูอีกสักครั้ง แล้วจะลองเล่าให้ฟังนะคะ พร้อมหรือยังคะ........ หลับตาแล้วลองจินตนาการตามดูนะคะ (เอ!! ลืมตาดูรูปบ้างก็ดีคะ ......)

               ทิวทัศน์เมื่อแรกพบ เราจะเจอแต่หมู่ไม้นานาพันธุ์มีทั้งสีเขียวเข้ม เขียวอ่อน สีแดง สีส้ม สลับกันไปมา แซมด้วยดอกไม้ป่าดอกเล็กน่ารักหลากหลายพันธุ์  บ้านเรือนปลูกไล่สลับลดหลั่นกันไปตามแนวเขา บ้านแต่ละหลังบ่งบอกถึงความเอาใจใส่ ถูกประดับประดาอย่างงดงามตามสไตน์คันทรี มีไม้ดอกไม้ประดับปลูกเพื่อเพิ่มความสดใส น่ารัก ให้กับบ้าน

              ภาพที่น่าจะเห็นถ้ามองจากในตัวบ้าน ข้างหลังเป็นแมกไม้จากภูเขา มีกลิ่นหอมอบอวลของดินและป่าสนเบื้องหลัง ด้านหน้าสะท้อนพื้นน้ำ ที่ไหวเพียงแผ่วเบา  อากาศหละ....อืม เอาเป็นว่า อากาศน่าจะอยู่ที่ประมาณ 15 องศา เย็นกำลังดีถ้าอยู่ในเสื้อโค๊ดหนาๆ สักตัว พร้อมกาแฟหรือโกโก้ร้อนรสชาดดีสักถ้วย มองออกนอกหน้าต่าง พบทะเลสาบ พื้นน้ำสีฟ้า ใสกระจ่างตา พื้นน้ำเรียบสงบมีคลื่นเป็นระรอกเล็กๆ มีนกตัวน้อยสีขาวบินไปมาเพิ่มความมีชีวิตชีวาใหกับภาพเบื้องหน้า นกบางตัวเกาะอยู่บนเรือใบ เรือยอร์ช ที่จอดเรียงรายเทียบท่า รอคอยให้ผู้เป็นเจ้าของผู้มีอันจะกินได้ออกท่องเที่ยวยลความงามตามธรรมชาติ

               ไกลออกไปจากบ้าน ลึกเข้าไปในตัวเมือง ศูนย์กลางแห่งการค้าและธุรกิจ

              ร้านค้าเรียงรายสองข้างทางของถนนที่ปูด้วยอิฐก้อนเล็กน่ารัก ร้านค้ามากมายตกแต่งอย่างสวยงาม มีรสนิยม ร้านขายนาฬิการะดับไฮคลาสตั้งอยู่กลางเมือง นาฬิกาหรูไม่ว่าจะเป็น ROLEX, Cartier, Bvlgari, TAG Heuer, Chopard, Patek Phillipe หรือ Piaget  มีให้พวกไฮซ้อโฮโซได้เลือกจับจ่ายกันจนกระเป๋าเบาได้ ราคาก็ อืม!!.....เอาเป็นว่าถ้ามีโจรบุกเข้าไปปล้น โจรคนนั้นก็สามารถอยู่ไปได้สบายๆ ตลอดทั้งชีวิตโดยไม่ต้องทำงานเลยคะ แต่อย่านึกให้เสียเวลาเลย เพราะ ระบบรักษาความปลอดภัยของเค้าก็ระดับไฮคลาสอย่างไม่ต้องสงสัย 

               เดินต่อไปอีกนิดก็จะเจอร้านขายช็อกโกแลต ตกแต่งร้านได้น่ารักพอๆ กับสินค้าที่อยู่ภายใน  ช็อกโกแลตในร้านมีหลากหลายรสชาด ทั้งช็อกโกแลตขาว ช็อกโกแลตนม ช็อกโกแลตสอดไส้ น่าตาก็น่ารักน่าชัง ออกแบบได้สวยงามราวกับปะติมากรรมชั้นเลิศ หีบห่อที่บรรจุก็งดงามตระการตา เผลอหยิบใส่ตะกร้าด้วยความสุขใจ พอพลิกดูราคาก็ อืม!!..........หลายฟรังก์สวิตอยู่ (หน้ามืดก็ตอนจ่ายตังค์เนี้ยแหละค่า....555)

              ความสวยงามที่พานพบมีทั้งทัศนียภาพ บรรยากาศ ร้านรวง และสินค้าต่างๆ คงปฎิเสธไม่ได้ว่าผู้เขียนก็เพลิดเพลินไปกับสิ่งที่พบเจออยู่ไม่น้อย แต่ก็มีอยู่อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนรู้สึกประทับใจไม่น้อยหรือออกจะมากกว่าสิ่งที่ได้พูดไปก่อนหน้านี้ มันเป็นความเรียบง่าย น่ารักตามวิถีชีวิตที่พบเห็นได้ทั่วไปตามท้องถนนของประเทศนี้

             ท่านผู้อ่านคงต้องเคยข้ามถนนกันอยู่บ่อยๆ ใช่ไหมคะ ก็ด้วยความที่สะพานลอยบ้านเราก็น้อยเสียยิ่งกว่าถังขยะที่จะหาได้ อีกทั้งถ้าข้ามด้วยสะพานลอยก็ไม่รู้ว่าจะโดนปล้นหรือเปล่า (อันนี้คิดมากไปหน่อยคะ....555) ไม่ต้องพูดถึงทางม้าลายที่ควรจะต้องมีกลับหายากยิ่ง ทำให้เราๆ ท่านๆ ต้องเสี่ยงภัยในการข้ามถนนอยู่ไม่น้อยในบ้านเรา เมื่อตัดสินใจข้ามไปแล้วก็เหมือนจะถอยหลังไม่ได้ ไปหยุดอยู่กึ่งกลางถนน จะข้ามไปอีกฝั่งก็ยากยิ่งเพราะรถท่านก็มาไวเสียขนาดนั้น จะถอยหลังกลับก็ยากพอกัน ต้องยืนอยู่จนกว่าจะมีคนใจงามสักคนจอดให้ข้าม (อันนี้ก็หายากเช่นกัน...) หรือก็ต้องรอให้รถติดจนเราข้ามได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเวลาฝนตก น้ำที่สาดกระเด็นมาจากรถขณะเรายืนอยู่ก็พบเจออยู่บ่อยๆ ประหนึ่งคนเดินถนนเป็นเสาไฟฟ้าเคลื่อนที่ไร้แล้วซึ่งความรู้สึก..........

              แล้วสิ่งที่ผู้เขียนพบเจอจากประเทศที่ได้ขึ้นชื่อว่าพัฒนาแล้วอย่าง สวิตเซอร์แลนด์ นั่นหรอคะ มีอยู่ครั้งหนึ่งด้วยความเหมือนกระเหรี่ยง (ตัวน้อยๆ ) เข้าเมือง ต้องการจะข้ามถนนไปอีกฝั่ง ก็ชะเง้อชะแง้มองดูรถที่วิ่งไปมาอย่างที่ทำเป็นปกตินิสัยในเมืองไทย ด้วยความกลัวว่าจะ โดนชนจนต้องบาดเจ็บไปในดินแดนห่างไกลบ้านเกิดเมืองนอน ปรากฎว่า รถยนต์ที่วิ่งมาด้วยความเร็วพอประมาณ กลับจอดสนิท ย้ำนะคะว่าจอดสนิท ไม่ได้ชะลอเฉยๆ ด้วยความงง เด้อด้าของตัวเอง จนไกด์คนดีบอกว่า "ข้ามได้เลยครับ" ก็ข้ามถนนไปด้วยความปลอดภัย ไกด์คนเดิมคงเห็นว่าผู้เขียนทำหน้างงนักงงหนา ก็ชี้แจงแถลงไขให้ฟังว่า "นี่ เป็นสิ่งปกติธรรมดาที่คนสวิตเค้าทำกันอยู่แล้ว เค้าจะให้เกียรติคนข้ามถนน ด้วยการจอดอย่างนี้อยู่แล้วครับ" ตอนแรกก็คิดว่าเค้าคงทำกับเฉพาะนักท่องเที่ยว แต่ก็จับตามองดู เค้าก็ทำอย่างนี้กับทุกคนที่ข้ามถนนและเค้าก็ทำกันทุกคนอีกเหมือนกันสำหรับคนขับรถ 

                  มันทำให้ผู้เขียนนึกขึ้นอยู่อย่างหนึ่งในใจว่า เอ!! ที่เราเข้าใจกันว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว เราวัดเราดูกันที่ GDP/GNP หรือ เงินตราที่เพิ่มมากขึ้น เพียงอย่างเดียวหรือเปล่านะ ทั้งๆ ที่สิ่งที่เราน่าจะคิดและพิจารณาร่วมกันไปด้วย น่าจะมีเรื่องของ "คน" เข้าไปเกณฑ์หลักในการพิจารณาด้วยไม่ใช่หรอ ประเทศที่พัฒนาแล้ว น่าจะหมายถึงประเทศที่ มีคน ที่ได้รับการพัฒนาแล้ว... พัฒนาที่แนวคิด ความรู้ และที่สำคัญ คือ สำนึกของคุณงามความดีต่างๆ ที่คนเราพึ่งจะมี ไม่ใช่หรือ........

                อีกสิ่งหนึ่งที่อยากบอกเล่าให้ทุกท่านฟังอีกนิด คือ ผู้เขียนกลับพบเห็นสิ่งนี้ (ความมีน้ำใจงดงามในการหยุดรถให้คนได้ข้ามถนน) จากคนใกล้ตัวของผู้เขียนนี้เอง เค้าทำทุกครั้งจริงๆ (ผู้เขียนสังเกตเวลานั่งรถไปกับคนๆ นี้ ว่าเค้าทำทุกครั้ง) และทุกครั้งที่เค้าทำ เราก็รู้สึกว่าดีจังเลย เพราะ เราเองก็มีประสบการณ์เคยเป็นคนข้ามถนน ก็จะรู้ดีว่า เค้าดีจัง นี่!! น่าจะเรียกได้ว่าคนๆ นี้ เค้าพัฒนาแล้ว สิ่งนี้เหมือนแรงบันดาลใจอย่างหนึ่งสำหรับผู้เขียนให้ได้ฉุกคิดและพยายามทำตาม (แต่คงต้องดูด้วยว่ารถที่ตามหลังเรามา ไม่จี้รถเราจนจะชนรถเราได้ ให้ดีก่อนนะคะ.....) ตั้งแต่นั้นมาผู้เขียนรู้สึกเป็นสำนึกอย่างหนึ่งในใจว่าอย่างน้อยจะต้องชะลอรถสักหน่อย มีน้ำใจกับคนเดินถนนให้มากอีกนิดเสมอ

               และสิ่งที่ผู้เขียนได้ฉุกคิดอีกอย่างคือ เราเองยังรู้สึกว่า สิ่งที่เห็นมา เป็นสิ่งที่ดี ที่ควรเอาเยี่ยงอย่าง แล้วเราเองที่ได้ขึ้นชื่อว่า "เป็นแม่พิมพ์" ของชาติ (อันนี้เป็นสิ่งที่คิดเองนะคะ....) แล้วทำไมเราไม่คิดและพยายามหละที่จะทำ อะไรที่เป็นสิ่งดีๆ ที่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างให้ นิสิต ที่เราต้องการให้จบออกไปเป็น หมอที่มีหัวใจความเป็นมนุษย์และมีความรับผิดชอบ ได้เห็นและเอาเป็นแบบอย่างหละ คิดได้เช่นนี้ผู้เขียนจึงคิดและพยายามทำตามที่ตนเองเชื่อว่า........

"อะไรที่เราต้องการให้เด็กเป็น ให้เด็กได้เรียนรู้ และทำ เราต้องเป็นแบบอย่างที่ดีเสียก่อน"

ทุกท่านหละคะ มีความคิดเห็นอย่างไรกันบ้าง.......แนะนำกันเข้ามาบ้างนะคะ รอฟังรออ่านอยู่ค่า.......

            

 

หมายเลขบันทึก: 111838เขียนเมื่อ 15 กรกฎาคม 2007 22:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 18:09 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)
ถ้าไปปารีส แล้วลองข้ามถนนดู อาจจะคิดอีกแบบนะครับ. :-)

5555..... สงสัยจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ แหละคะ

แต่ไม่เป็นไรมั้งคะ เลือกแต่สิ่งดีๆ ของเค้าแล้วเอามาปรับให้เข้ากับเราก็น่าจะดีมั้งคะ

ขอบคุณนะคะที่แสดงความคิดเห็นเข้ามา ยินดีมากๆ คะ (รวดเร็วมั๊กมาก คะ)

เลือกเอาสิ่งที่ดี หลังจากมองแล้วหลายๆด้าน. :-)
  • นั่นแหละค่ะ บางทีต้องลงมือทำเป็นตัวอย่าง
  • บางทีไม่ต้องพูดก็ได้ ทำให้ดูได้ผลกว่าเยอะ
  • เห็นด้วยที่ว่าประเทศพัฒนาแล้วน่าจะเอาเรื่องคนไปวัดด้วย
  • ถ้าเป็นอย่างนั้นประเทศคนต้องพัฒนากันอีกเยอะเลย เหอะๆๆ
ขอบคุณนะคะที่ร่วมแสดงความคิดเห็นกันเข้ามา

เห็นด้วยกับการที่เราไปเจออะไรดีๆของประเทศอื่นแล้วนำมาใช้ครับ แต่บางอย่างเราก็ต้องประยุกต์ให้เข้ากับบริบทของเราด้วยนะครับ

 

จริงอย่างคุณ The Kop ว่าคะ

แต่บ้านเราเนี้ยชอบไปรับสิ่งต่างๆ มาจากประเทศอื่นคะ แต่บางทีก็รับมาไม่หมดหรือรับมาก็ไม่มีการปรับให้เข้ากับบริบทของบ้านเมืองเรา

แต่อย่าว่าอย่างนู้อย่างนี้เลยนะคะ เราเองก็เป็นคนหนึ่งในสังคมเหมือนกัน ถ้าอยากให้เปลี่ยนแปลงหรือเกิดอะไรดีๆ ขึ้น ก็คงต้องเป็นที่ตัวเราเองก่อน เริ่มจากตัวเราง่ายที่สุด แล้วหวังว่าสักวันจะเกิดกระแสอย่างทฤษฎีลิงตัวที่ 100 คะ.........

บางเรื่องอย่างการข้ามถนนหนะครับ ผมก็คิดหนักเหมือนกัน. ก็อยากให้รถจอดให้ตอนข้ามถนน. แต่พอมีบางคันจอดบ้างไม่จอดบ้างก็ลำบาก. บางทีต้องไปยืนรอกลางถนน เพราะคนใกล้จอดคันไกลไม่จอบ ฯลฯ เศร้าๆ. บางทีฝนตกหนักมากรถก็ไม่จอดให้นะที่ทางม้าลาย สงสัยกลัวงง.

อยากอ่านลิงตัวที่ 100 บางอะครับ? หาอ่านได้ที่ไหน?

ลองอ่าน http://gotoknow.org/blog/buildchumphon/28054 ดูก็ได้คะ เค้าเขียนไว้ดีเชียวคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและร่วมแสดงความคิดเห็นนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท