กำหนดการทำบุญ


กำหนดการเททองหล่อพระ

1.สมเด็จพระเจ้าองค์ปฐมบรมจักรพรรดิ์พุทธมหาราชา ปางมารวิชัยทรงเครื่อง หน้าตัก 69 นิ้ว

2.พระศรีอาริยเมตไตรยทรงเครื่อง หน้าตัก 30 นิ้ว

3.หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด หน้าตัก 9 นิ้ว

ณ บ้านพุทธฉัตร อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม 2550

 

a a a a a a a a

วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม 2550

เวลา 7.30 น. - ถวายภัตตาหารเช้าแด่พระภิกษุสงฆ์

เวลา 9.09 น. - ทำพิธีบวงสรวง

เวลา 10.09 น. - ทำพิธีเททองหล่อพระ

เวลา 11.00 น. - เชิญร่วมรับประทานอาหาร

เวลา 15.00 น. - ห่มผ้าพระประธานที่สมเด็จกรมพระราชวังบวรสุรสีหนาทสร้าง ณ วัดมหาธาตุ

ยุวราชรังสฤษฏิ์ ราชวรมหาวิหาร

เสร็จพิธีขอให้เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ

 

a a a a a a a a

 

ถวายโดยคณะศิษย์หลวงปู่ทวด และหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

พระอาจารย์ศุภรัตน์ สุภญาโณ และคณะศิษย์

 

คำสำคัญ (Tags): #ถวายการทำบุญ
หมายเลขบันทึก: 109069เขียนเมื่อ 6 กรกฎาคม 2007 11:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 13:16 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด

74 หมู่ 2 บางนา-ตราด กม.21

ต.ศรีษะจรเข้ใหญ่  กิ่ง อ.บางเสาธง

สมุทรปราการ 10540

สายตรง 02-740-0673

02-3128444-55 ต่อ 237

มหาปณิธานของพระโพธิสัตต์พระองค์นี้ คือ หากยังมีสัตว์โลกตกทุกข์ได้ยาก แม้เพียงคนเดียว จะไม่ขอบรรลุพุทธภูมิ นั่นย่อมแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติในด้าน พระมหากรุณา

ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน โพธิสัตต์ หมายถึง ท่านผู้ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

อวโลกิเตศวร ประกอบขึ้นด้วยคำ 2 คำ คือ อวโลกิตะ หมายถึง ผู้มองมายังเบื้องล่าง และ อิศวร แปลว่า ผู้เป็นใหญ่

เคอร์น ชาวฮอลันดา - อวโลกิเตศวร แปลว่า ผู้เป็นใหญ่ที่มองเห็น

นักปราชญ์ชาวเบลเยี่ยม - พระผู้เป็นเจ้าของสิ่งที่เรามองเห็น , พระผู้เป็นเจ้าซึ่งเราแลเห็น , พระผู้เป็นเจ้าซึ่งมองดู , พระผู้เป็นเจ้าซึ่งมองลงมาจากเบื้องบน , พระผู้เป็นเจ้าผู้มองดูด้วยความเมตตา

โธมัส ปราชญ์ชาวอังกฤษ - ผู้ซึ่งได้รับการกล่าวอำลาแล้ว , ผู้ซึ่งถูกมองเห็นเป็นครั้งสุดท้าย

ลาวา เล่ปุสแซง - ทรงเป็นเจ้าของผู้ที่จากไป และเป็นผู้ช่วยเหลือผู้ที่กำลังจะตาย

ซิมเมอร์ ชาวเยอรมัน - อาจแปลได้ว่า สมันตมุข คือ พระพักตร์อยู่ทุกทิศ หรือแลเห็นทั้งหมด , ผู้ที่สามารถบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ คือ อาจจะเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อใดก็ได้ แต่ทรงปฏิเสธ เนื่องจากความกรุณาสงสารต่อสรรพสัตว์

ชาวจีน - ผู้พิจารณาเสียง (สวดมนตร์) หรือผู้พิจารณาเสียงของโลก หรือ ผู้ฟังการสวดมนตร์ของโลก ในภาษาสันสกฤต พระโพธิสัตต์พระองค์นี้ยังเรียกอีกพระนามหนึ่งว่า อวโลกิตโลเกศวร ทางจีนนั้น พระภิกษุเหี้ยนจัง ( พระถังซัมจั๋ง ) เรียกเป็นภาษาจีนว่า กวนเซยินเซอไซ , กวนเซอไซ

นักปราชญ์ทางพุทธศาสนาบางท่านให้ข้อคิดที่น่าสนใจว่า คำว่า อิศวร นั้น เป็นตำแหน่งที่ติดมากับพระนามอวโลกิตะ เรียกได้ว่า พระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตต์พระองค์เดียวเท่านั้นที่มีตำแหน่งระบุไว้ท้ายพระนาม ในขณะที่พระโพธิสัตต์พระองค์อื่นหามีไม่ นั่นแสดงให้เห็นถึง ความยิ่งใหญ่ของพระโพธิสัตต์พระองค์นี้
ประวัติพระโพธิสัตว์กวนอิม

พระโพธิสัตว์กวนอิม เดิมเป็นเทพธิดาที่มาจุติยังโลกมนุษย์ เพื่อมาช่วยปลดเปลี้องทุกข์ภัยแก่มวลมนุษย์ ท่านเป็น ราชธิดาองค์ที่สามของกษัตริย์เมี่ยวจวง ซึ่งมีราชธิดา 3 องค์ องค์โตชื่อ เมี่ยวอิม องค์รองชื่อ เมี่ยวหยวน องค์ที่สามชื่อ เมี่ยวซ่าน คือ พระโพธิสัตว์กวนอิมนั่นเอง ตอนเยาว์วัยท่านเป็นพุทธมามกะ มีความรู้แจ้งในหลักพุทธธรรมอย่างลึกซึ้ง ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะบำเพ็ญภาวนา เพื่อความหลุดพ้นจากสังสารวัฏ ตอนนั้น พระเจ้าเมี่ยวจวงไม่เห็นด้วยกับความ ประสงค์ของราชธิดา จะบังคับให้เลือกราชบุตรเขย เพื่อจะได้สืบทอดราชบังลังก์ต่อไป แต่องค์หญิงสามไม่สนพระทัยเรื่อง ลาภยศสรรเสริญอันจอมปลอม
ซึ่งแม้จะถูกพระบิดาดุด่าอย่างไร องค์หญิงก็ไม่เคยนึกโกรธเคืองแต่อย่างใด ต่อมาองค์หญิง สามได้ถูกขับไปทำงานหนักในสวนดอกไม้ เช่น หาบน้ำ ปลูกดอกไม้ ทั้งนี้เพื่อทรมานให้เปลี่ยนความตั้งใจแต่ก็มีเหล่ารุกข- เทวดามาช่วยทำงานให้ทั้งหมด พระบิดาเมื่อเห็นว่าไม่ได้ผล จึงรับสั่งให้หัวหน้าแม่ชีนำองค์หญิงไปอยู่ที่วัดนกยูงขาวและ ให้เอางานของแม่ชีทั้งวัดมอบให้องค์หญิงทำคนเดียว แต่องค์หญิง ก็มีพระทัยเด็ดเดี่ยวไม่เปลี่ยนแปลง งานการต่างๆ ก็มี เหล่าเทวดามาช่วยทำแทนให้อีก พระเจ้าเมี่ยวจวงเข้าใจว่า พวกแม่ชีไม่กล้าเคี่ยวเข็ญใช้งานหนัก ก็ยิ่งกริ้วหนักขึ้น สั่งให้ ทหารเผาวัดนกยูงขาวจนวอดเป็นจุณไปพร้อมกับพวกแม่ชีทั้งหมด
มีแต่องค์หญิงสามเท่านั้นที่ปลอดภัยรอดชีวิตมาได้พระ เจ้าเมี่ยวจวงทราบดังนั้น จึงสั่งให้นำตัวราชธิดาไปประหารชีวิต ตอนนั้นมีเทพารักษ์คอยคุ้มครององค์หญิงสามอยู่ โดย- เนรมิตทองคำทิพย์เป็นเกราะหุ้มตัว คมดาบของนายทหารจึงไม่อาจระคายพระวรกาย จนดาบหักสะบั้นถึง 3 ครั้ง 3 ครา พระบิดาทรงกริ้วยิ่งนัก

โดยเข้าใจว่า นายทหารไม่กล้าประหารจริง จึงให้ประหารนายทหารแทน แล้วรับสั่งให้จับองค์ หญิงไปแขวนคอ ทว่าผ้าแพรที่แขวนคอก็ขาดสะบั้นลงอีก ทันใดนั้นปรากฏมีเสือเทวดาตัวหนึ่งได้นำองค์หญิงขึ้นพาดหลัง แล้วเผ่นหนีไปที่เขาเซียงชัน
ต่อมา เทพไท่ไป๋ ได้แปลงร่างเป็นชายชรามาโปรดองค์หญิง ชี้แนะเคล็ดวิธีการบำเพ็ญเพียรเครื่องดับทุกข์จน- สามารถบรรลุมรรคผลสำเร็จธรรม
ข้างฝ่ายพระบิดาเข้าใจว่าองค์หญิงถูกเสือคาบไปกินเสียแล้ว จึงไม่ได้ติดใจตามราวีอีก ต่อมาไม่นาน บาปกรรมที่ พระองค์ก่อไว้ได้ส่งผล กษัตริย์เมี้ยวจวงเกิดป่วยด้วยโรคร้ายแรง ไม่มียาใดที่จะสามารถรักษาให้หายได้
องค์หญิงได้ทรง ทราบด้วยญาณวิถีว่า พระบิดากำลังประสบเคราะห์กรรมอย่างหนัก ด้วยความกตัญญูกตเวทีเป็นเลิศ มิได้ถือโทษโกรธเคือง การกระทำของพระบิดาแม้แต่น้อย ทรงได้สละดวงตาและแขนสองข้างเพื่อรักษาพระบิดาจนหายจากโรคร้าย
องค์หญิง เมี่ยวซ่านนั้น ตอนแรกเป็นชาวพุทธ ตอนหลังเทพไท่ไป๋ได้มาโปรดชี้แนะหนทางดับทุกข์ ด้วยเหตุนี้ พระโพธิสัตว์กวนอิม จึงเป็นเทพทั้งฝ่ายพุทธ และฝ่ายเต๋าในขณะเดียวกัน

พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตต์ (กวนอิมพู่สัก) พระโพธิสัตต์ผู้มากล้นด้วยความเมตตา

เรื่องของพระโพธิสัตต์พระองค์นี้ มิใช่สิ่งแปลกปลอมในพุทธศาสนา แต่เป็นพระโพธิสัตต์องค์สำคัญที่ได้รับการสักการะบูชามากที่สุด ที่อินเดียรูปเคารพมักจะเป็นภาพเขียน ปูนปั้น หินและไม้แกะสลัก ซึ่งปรากฏอยู่ตามฝาผนังถ้ำ วัดวาอาราม สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และวิทยาลัยทางพุทธศาสนาไม่ว่าจะเป็นนาลันทา , วิกรมศาลา ไม่จำเพาะแต่ที่อินเดียเท่านั้น ในเอเชียกลาง อาฟกานิสถานก็ปรากฏอย่างมากมาย

ลักษณะของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตต์ในอินเดีย พระพักตร์ พระวรกาย และพระอิริยาบท ตลอดจนการฉลองพระองค์อยู่ในรูปลักษณะของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินจักรพรรดิเป็นมหาราช มิได้มีฉลองพระองค์จนอ่อนพลิ้วอย่างจีน หรืออย่างที่พบกันในปัจจุบันของเมืองไทย ก็ได้อิทธิพลมาจากจีนทั้งสิ้น

เนื่องด้วยพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตต์ ทรงมีพระกตัญญู (เมตตากรุณาธิคุณ) คอยปลดเปลื้องความทุกข์ภัยของสัตว์โลก จึงมีพระเนมิตตกนาม ( นามที่ได้จากลักษณะและคุณสมบัติ ) ตามภาษาจีนเรียกว่า พระกวนอิมพู่สัก แปลว่า พระโพธิสัตต์ที่มีพระกรรณาวธานโลกาศัพท์ หรือเรียกง่ายๆก็คือ ผู้คอยเงี่ยหูสดับรับฟังความทุกข์ของสัตว์โลก

ในพระพุทธศาสนามหายาน คณะสงฆ์จีนนิกาย กล่าวไว้ว่า สามารถเนรมิตกายได้ 32 กาย แล้วแต่ว่าจะไปโปรดใคร มิใช่มีรูปร่างเป็นหญิงดังที่ปรากฏเท่านั้น ที่สำคัญ มี 6 ร่าง คือ

1. อวโลกิเตศวร (กวนอิมพู่สัก)
2. สหัสหัตถสหัสเนตรอวโลกิเตศวร
3. เอกาทสมุขีอวโลกิเตศวร
4. หัยครีวอวโลกิเตศวร
5. จัณฑิอวโลกิเตศวร
6. จินดามณีจักรอวโลกิเตศวร

มงกุฏเหนือเศียรเกล้าแห่งพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตต์มหาสัตต์ หลังพุทธศตวรรษที่ 14 มักจะเป็นรูปของพระอมิตาภะในปางสมาธิแทบทั้งสิ้น ในกรณีที่เป็นพระโพธิสัตต์มีหลายเศียร เศียรบนสุดอย่างไรเสียก็ต้องเป็นพระพุทธเจ้าอมิตภะ ไม่สามารถเลี่ยงหรือแส่ส่ายไปทางอื่น ดอกบัวสัญญลักษณ์ของกวนอิม คือ บัวสีชมพู สีขาวใช้กับพระมัญชุศรีโพธิสัตต์เท่านั้น ด้วยดอกบัวสีชมพูในตระกูลปัทมะนี้เอง ทำให้พระองค์ได้รับการขนานพระนามว่า " พระปัทมปาณีโพธิสัตต์ "

ด้วยความเมตตา กรุณาต่อสรรพสัตว์อันประมาณมิได้นี้เอง ก่อให้เกิดแนวในการสร้างพระกวนอิมพันมือพันตาในเวลาต่อมา โดยขนานนามพระองค์ท่านว่า พระสหัสสหัตถ์สหัสสเนตรอวโลกิเตศวร หรือถ้าเป็นปาง 4 พระกร เรียก จตุหัตถ์อวโลกิเตศวร

ส่วนพระคาถาสรรพราเชนทร์ ด้วยถ้อยความศักดิ์สิทธิ์ 6 พยางค์ " โอม มณี ปัทเม หุม " นั้นมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า " ษฑักษรีมหาวิทยา " โดยกำหนดให้ปางหนึ่งของพระอวโลกิเตศวร หรือพระษฑักษรีโลเกศวร เป็นพระโพธิสัตต์ผู้รักษามนตราศักดิ์สิทธิ์ 6 พยางค์นี้

ในพุทธศาสนามหายานนั้น ยกย่องพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตต์ ว่าเป็นพระผู้ได้รับธรรมจักรมาโดยตรงจากพระพุทธเจ้า และเป็นผู้นำในการรักษาพระพุทธศาสนา และหมุนธรรมจักรต่อไป

พระคัมภีร์สำคัญๆของพุทธศาสนาฝ่ายมหายานประกอบด้วย คัมภีร์มหาสุขาวดีวยุหสูตร , จุลสุขาวดีวยุหสูตร , อมิตายุรธยานสูตร , ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร , พระสัทธรรมปุณฑรีกสูตร
พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์

วันที่ 19 เดือน 2 (วันเดือนของจีน) วันประสูติ

วันที่ 19 เดือน 6 (วันเดือนของจีน) บรรลุธรรมสำเร็จ

วันที่ 19 เดือน 9 (วันเดือนของจีน) วันออกบวช

ความศักดิ์สิทธิ์แห่งมหากรุณาธารณีสูตร

            พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์  มีพร้อมด้วยอภัย 14 (ช่วยระงับภัยเพื่อไม่ให้เกิดภัยขึ้น 14 ประเภท)มีนิรมาณกาย 32 กาย (ปรากฏต่าง ๆ 32 กาย เพื่อให้เข้ากับผู้ที่ต้องการให้ช่วย ) อีกทั้งมีอภิญญาอีกมากหลาย            อวโล  หมายถึง สติปัญญาในการเพ่งเห็น            กิเตศวร หมายถึง เสียงของผู้ขอร้องจากเขตโลก            อวโลกิเตศวร หมายถึง พระมหาโพธิสัตว์เพ่งเห็น (ได้เห็นและได้ยินเสียงของผู้ตกทุกข์ได้ยาก  ขอร้องให้ช่วย และท่านจะไปช่วยไปตามเสียงขอร้องนั้น ให้ผู้ร้องพ้นจากความทุกข์ยาก ขจัดภยันตราย ได้รับความสุขสมบูรณ์ จึงได้รับนามว่า พระอวโลกิเตศวร คำว่า โพธิ หมายถึง ตรัสรู้    สัตว์ หมายถึง สิ่งที่มีชีวิตอำนวยประโยชน์ให้ผู้อื่น ฉะนั้นรวมความหมายถึงขอร้องต่อเบื้องบนและโปรดผู้อยู่เบื้องล่าง  ทำประโยชน์ให้ตนและให้ผู้อื่น  เป็นนามและหน้าที่ของผู้ปฏิบัติธรรม            พระมหาโพธิสัตว์อยู่ข้างเคียงกับพระอมิตาภพุทธเจ้าโปรดสัตว์ในโลกนี้เป็นผู้ช่วยพระศากยมุนี  โปรดสัตว์ในโลกนี้เช่นกัน  น้ำอมฤตของท่านปล่อยไปทั่วสหัสสาโลก  ให้สัตว์โลกทั้งหลายละจากโลกยวิสัย แล้วหลุดพ้นเป็นที่สุดมหาโพธิสัตว์มีบุญบารมีปัจจัยสัมพันธ์กับดินแดนภาคตะวันออกนี้เป็นอันมาก  ถ้าตั้งใจสวดพระนามท่านและคาถามนตร์ของท่านด้วยความเคารพน้อมนอบจะได้รับผลตอบแทนทันที            พระมหาโพธิสัตว์องค์นี้ เสมือนดวงจันทร์ท่องไปตามท้องฟ้าอากาศ ถ้าสัตว์ชำระจิตใจให้สะอาดหมดจดย้อนพิจารณาอายตนและโลกียวัตร ดวงจันทร์แห่งพระมหาโพธิสัตว์ ก็จะปรากฏขึ้นในจิตของตน เหมือนกับดวงจันทร์ส่องแสงไปยังน้ำใส ย่อมปรากฏเงาของดวงจันทร์ฉันนั้น            บัดนี้ได้บรรยายคาถามนตร์ของท่าน 84 ประโยค และหมายเหตุเรียบร้อยแล้ว ท่านที่สวดท่อง ขอให้สวดท่องด้วยความเมตตา  กรุณา  ความเสมอภาค  ความไม่ประกอบกรรมบาปความเพ่งมรรคสูญ  ไม่ข้องแวะในราคะ  ด้วยความเคารพ  มุ่งตรงเข้าถึงธรรมด้วยความสัจจริง และด้วยความพยายามหมั่นเพียรย่อมเป็นที่ระลึกและคุ้มครองของพระมหาโพธิสัตว์ รวมทั้งทวยเทพนาคราชก็จะให้ความปกปักษ์รักษาด้วย ซึ่งจะได้แต่ความเป็นศิริมงคลสืบทอดไปถึงลูกหลานอันบุญวาสนานี้  แม้จะนำเมล็ดทรายแม่น้ำคงคามาเทียบก็ไม่อาจจะเทียบได้ เราท่านผู้เป็นพุทธสาวก  จงสวดอธิญานด้วยความเคารพศรัทธา

บรรยายมหากรุณาธารณีสูตร

เค้ามูลมหากรุณาธารณีสูตร

            มหากรุณาธารณีสูตร  เป็นมนต์คาถาอันกำเนิดจากความเมตตากรุณาอันใหญ่ยิ่ง รวมทั้งความโปรดโลกโปรดสัตว์  ปฏิบัติธรรม  บรรลุพระพุทธภูมิ  ที่สำคัญอย่างยิ่งยอด  ซึ่งเป็นของพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์อักษรหนึ่งและประโยคหนึ่งในธารณีนี้ ล้วนเป็นสัจจธรรมที่จะเข้าถึงสัมมาสัมโพธิญาณ            ธารณีนี้  เป็นส่วนสำคัญของ  มหากรุณาจิตธารณีสูตรรวมมี 84 ประโยค  ชื่อเต็มว่า สหัสภุชสหัส-เนตรอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ไพบูลย์สมบูรณ์อภิญจนมหากรุณาจิตธารณีสูตรมหากรุณามนตร์ ที่ได้ชื่อดังนี้ มีที่มาว่าสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าตรัสต่อพระอานนท์ว่า  ธารณีนี้ มีชื่อต่างๆ เช่น มหาไพบูลย์สมบูรณ์หนึ่ง 

อกิญจนมหากรุณาหนึ่ง  ปลดทุกข์ธารณีหนึ่ง  อายุวัฒนธารณีหนึ่ง ดับทุกข์คติธารณีหนึ่ง กำจัดกิญจนบาปหนึ่ง

สมบุรณ์ปณิธานหนึ่ง  มโนมัยอิศวรหนึ่ง  วิกรมอุตตรภูมิธารณีหนึ่ง            พระมหาโพธิสัตว์องค์นี้ที่มีนามว่าสหัสภุชสหัสเนตรอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์นั้น  ก็เนื่องจากในพุทธกาลพระสหัสประภาศานติสถิตยถาคตพุทธเจ้านั้น  พระพุทธเจ้าองค์นี้ได้ตรัส มหาไพบูลย์สมบูรณ์

อกิญจนมหากรุณาธารณี แก่ท่านมหาโพธิสัตว์และตรัสต่อไปว่า สาธุ บุรุษเมื่อเธอได้หฤทัยธารณีนี้ จงสร้าง

ประโยชน์สุขสำราญแก่สัตว์ทั้งหลายในกษายกลัปแห่งอนาคตกาลโดยทั่วถึง  ตามพระสูตรได้กล่าวไว้ว่า ใน

ขณะนั้นเมื่อพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ได้ฟังมนตร์คาถานี้แล้ว  ก็ได้จากปฐมภูมิของโพธิสัตว์บรรลุถึง

ภูมิที่ 8 คือ อจลภูมิ จึงได้ตั้งปณิธานว่า  ในอนาคตกาลถ้าเราสามารถสร้างประโยชน์สุขแก่สรรพสัตว์ได้ 

ขอให้ข้าพเจ้าได้มีพันกร  พันเนตร  ในทันที  เมื่อท่านได้ตั้งปณิธานนี้แล้ว ได้เกิดมีพันกร พันเนตร ในบัดดล

เกิดแผ่นดินไหวทั่วทั้ง 10 ทิศ  พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็ต่างส่องอมตาภาส่องทั่วไปทั่วทศทิศอันไม่มีขอบเขตส่วนมนตร์คาถานี้มีหลายชื่อนั้น  ก็เนื่องจากพระศากยมุนีได้เคยตรัสแก่พระอานนท์ว่า  เนื่องจากปณิธานอันใหญ่ยิ่งโดยพระมหาโพธิสัตว์กล่าวว่า หากว่าเหล่ามนุษย์และทวยเทพ ตั้งจิตสวดนามเรา  พร้อมด้วยสวดพระนามพระพุทธอมิตาพุทธเจ้าแล้วสวดพระธารณีนี้ คืนละ 5 จบก็จะดับมหันตโทษจำนวนร้อยพันหมื่นล้านกัปได้ หากเหล่ามนุษย์ทวยเทพสวดคาถามหากรุณานี้ เมื่อใกล้ชีวิตดับพระพุทธเจ้าทั้ง 10 ทิศ จะมายื่นพระกรมารับแล้วให้ไปจุติในพุทธเกษตรทุกแห่ง

บุญวาสนาที่ได้จากการสวดมหากรุณาธารณีสูตร

            1. มีความสุขสบาย ปราศจากโรคภัย  มีอายุวัฒนะ  ได้ความมั่งคั่ง กำจัดบาปอกุศลกรรมทั้งหลายที่ได้ทำไว้ ปราศจากภยันตราย  เพิ่มพูนบุญวาสนา สำเร็จผลในกุศลอินทรี พ้นจากความหวั่นกลัว เมื่อจะถึงแก่กรรมจะได้ไปจุติตามทุกพุทธเกษตรดั่งที่ต้องการ            2. ผู้ที่สวดมนตร์นี้ จะรักษาโรคแปดหมื่นสี่พันชนิดในโลกนี้ให้หายได้            3. เมื่อได้นั่งเพ่งฌาณสมาธิตามป่าภูเขา ถ้ามีภูติผีปีศาจมารบกวนสวดมนตร์จบเดียว พวกผีจะถูกจองจำไว้หมด            4. ถ้าสวดตามวิธีแล้ว  พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ จะให้เทพเจ้าและวชิรธรติดตามปกปักษ์รักษาไม่ห่างไปจากผู้นั้น เสมือนป้องกันดวงตาและชีวิตของตน

ความวิเศษยอดเยี่ยมของมหากรุณาธารณีสูตร

            1. มนตร์นี้ ตรัสโดยพระพุทธเจ้าจำนวน 99 โกฏิ  เมล็ดทรายแม่น้ำคงคาในอดีตกาลพระอวโลกิเตศวร-มหาโพธิสัตว์  ได้รับจากพระตถาคตเจ้าพระสหัสประภาราชศานติสถิตย์พุทธเจ้าในขณะนั้น พระอวโลกิเตศวร-มหาโพธิสัตว์ยังอยู่ในปฐมภูมิเมื่อได้ฟังคาถามนตรนี้แล้วก็เข้าถึงภูมิที่ 8 ทันที มีความเปลื้มปิติยินดี  จึงได้ตั้งปณิธานประกาศมนตร์นี้เพื่ออำนวยความสุขสบายแก่สรรพสัตว์แล้วก็เกิดสนองปณิธานทันที โดยมีพันกรพันเนตรเกิดขึ้นจากร่างกายฉับพลัน            2. พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ทูลแด่พระพุทธองค์ว่า หากสรรพสัตว์สวดท่องมหากรุณามนตร์  แล้วไม่สามารถไปจุติในพุทธเกษตร หรือไม่ได้ปฏิภาณสมาธิอันเป็นอมิต และไม่สมความต้องการทุกสิ่งในชาตินี้เราจะไม่ยอมบรรลุสัมมาสัมพุทธ  เว้นแต่ผู้ที่มีจิตบาปและไม่มีความศรัทธา            3. ผู้สวดท่องธารณีนี้อยู่เสมอ ท่านผู้นี้ คือ            - พุทธกายปีฎก ด้วยพระพุทธเจ้า 99 โกฏิเมล้ดทรายแม่น้ำคงคาปกปักษ์รักษาอยู่            - เป็นแสงสว่างปีฎก ด้วยพระตถาคตทุกองค์ส่องแสงสว่างให้อยู่            - เมตตากรุณาปีฎก ด้วยพระธารณีโปรดสัตว์อยู่เสมอ            - เป็นสุธรรมปีฎก ด้วยรวบรวมสรรพธารณีอยู่            - เป็นฌาญสมาธิปีฎก ด้วยสมาธิร้อยพันปรากฏต่อหน้าอยู่            - เป็นอากาศปีฎก  ด้วยได้ใช้ปัญญาแห่งความสุข  เพ่งวิปัสนาสรรพสัตว์อยู่            - เป็นอภัยปีฎก  บรรดานาค เทพ อารักขาอยู่            - เป็นสุพจน์ปีฎก  ด้วยเสียงแห่งธารณีไม่ขาดอยู่            - เป็นนิจสถิตย์ปีฎก ด้วยภัยทั้ง 3 ทุกกัปไม่สามารถทำลายอยู่            - เป็นโมกขปีฎก ด้วยมารและเดียรถีย์ไม่สามารถขัดขวางได้            - เภษัชราชปีฎก  ด้วยใช้ธารณีนี้รักษาโรคของสรรพสัตว์อยู่เสมอ            - เป็นอภินิหารปิฎก  ด้วยสามารถท่องเที่ยวไปตามพุทธเกษตรต่างๆ ด้วยความอิสระอยู่ 
ดันกม.ปล้ำเถรเณรชีคุกหัวโต
โพสต์ทูเดย์สนช.ดันกฎหมายคุ้มครองพุทธศาสนา ปล้ำเถร เณร ชี บิดเบือนคำสอน จ้วงจาบศาสนา โทษหนัก สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จำนวน 180 คน ได้เสนอร่าง พ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาในวันนี้ โดยมีเหตุผลว่า ขณะนี้พระพุทธศาสนาถูกกระทบกระเทือนจากเหตุปัจจัยจำนวนมากจึงสมควรมีกฎหมายฉบับนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวมี 5 หมวด ในส่วนบทกำหนดโทษนั้นกำหนดว่า ผู้ใดร่วมประเวณี ไม่ว่าโดยทางใดและวิธีการใดกับพระภิกษุ สามเณร หรือแม่ชี หรือเป็นผู้ชักจูง จัดหา หรือจ้างวานให้มีการร่วมประเวณีเช่นว่ามีโทษจำคุก 5-10 ปี และปรับตั้งแต่ 1 แสนบาทถึง 5 แสนบาท นอกจากนี้ ผู้ที่จ้วงจาบ ละเมิด ลอกเลียน บิดเบือน พุทธประวัติ สัญลักษณ์ที่ใช้แทนองค์พระพุทธเจ้า หรือพระธรรมวินัย คำสอนหรือหลักปฏิบัติที่ปรากฏในพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และคัมภีร์อื่นๆ มีโทษจำคุก 10-25 ปี ปรับตั้งแต่ 5 แสนบาทถึง 1 ล้านบาท ในกรณีที่จ้วงจาบ ละเมิด ลอกเลียน บิดเบือน วิธีการและลีลาที่เป็นเอกลักษณ์การแสดงธรรมในพระพุทธศาสนา สัญลักษณ์ของศาสนบุคคลในพุทธศาสนา พิธีกรรมและระเบียบปฏิบัติทางพุทธศาสนา รวมทั้ง จ้วงจาบ ละเมิด พระภิกษุ สามเณร แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ฯลฯ ให้ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสีย มัวหมองหรือวิปริตผิดเพี้ยน มีโทษจำคุก 5-10 ปี และปรับตั้งแต่ 1 แสนบาทถึง 5 แสนบาท นอกจากนี้ หากผู้ใดทำความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญาต่อพระภิกษุ สามเณร หรือแม่ชี ผู้นั้นต้องรับโทษแรงกว่าปกติถึง 3 เท่า อนึ่ง ร่างกฎหมายนี้มีการรับรองสถานะแม่ชีไว้ในกฎหมายเป็นครั้งแรก โดยกำหนดให้แม่ชีต้องสังกัดสถาบันแม่ชีไทย ฯลฯ
สุดอัศจรรย์...16 คำทำนายพระพุทธเจ้า ชี้ชะตามนุษย์โลก

ในยุคโลกาภิวัตน์ ที่ความเจริญทางด้านวัตถุ ก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง
เป็นที่น่าฉงนว่า ทำไมคนในโลกกลับมีความสุขน้อยลง และดูเหมือนว่าปัญหาในการดำรงชีวิต กลับมีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะปัญหาทางด้านศีลธรรม จริยธรรมอันเป็นความเจริญทางด้านจิตใจ ดูจะเป็นสมการผกผัน กับความเจริญทางด้านวัตถุอย่างน่าเป็นห่วง ทุกวันนี้ หากเราฟังข่าวคราวไม่ว่าในประเทศไทย หรือประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ล้วนแล้วแต่มีเหตุการณ์ร้ายๆ เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ และภัยอันเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ด้วยกันเอง



หลายๆ สิ่งเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ก็สามารถนำมาใช้คาดการณ์ล่วงหน้าและรับมือได้ทัน แต่ก็มีไม่น้อย ที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยียังไปไม่ถึง แต่หากจะบอกว่าสภาพการณ์หลายๆ อย่างที่อุบัติขึ้นในสมัยปัจจุบัน เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้า ได้ทำนายล่วงหน้ามาแล้วกว่า 2500 ปี หลายๆ คนอาจจะยังไม่เชื่อ หรือไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ดังนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำเรื่อง พุทธทำนายอันปรากฏอยู่ในอรรถกถาพระไตรปิฎก มหาสุบินนิมิตชาดก เอกนิบาตชาดก ขุททกนิกาย ซึ่งเป็นเรื่องเล่าถึงสมัยที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงทำนายพระสุบิน(ความฝัน) ให้พระเจ้าปเสนทิโกศล จำนวน 16 ข้อ ว่ามีความหมายอย่างไร ดังนี้


วันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศล ผู้ครองกรุงสาวัตถี ได้เสด็จเข้าสู่นิทรารมย์ในราตรีกาล ครั้นล่วงปัจฉิมยามใกล้รุ่ง ได้ทอดพระเนตรเห็น พระสุบินนิมิตอันใหญ่หลวง ถึง 16 ประการ อันเป็นพระสุบินที่แปลกประหลาด จึงทรงตกพระทัยตื่นบรรทม และครั้นรุ่งเช้า ก็ได้ให้พวกพราหมณ์ปุโรหิตประจำราชสำนักทำนาย พวกพราหมณ์ปุโรหิต ก็พากันทำนายว่าเป็นพระสุบินที่ร้าย และว่าพระองค์จะต้องประสบภัยอันตราย 3 ประการ ไม่เสียราชทรัพย์ ก็จะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน หรือไม่ก็ต้องสวรรคต อย่างใดอย่างหนึ่ง และแนะให้พระองค์ทำพิธีบูชายัญสัตว์ เพื่อสะเดาะห์เคราะห์ เมื่อพระนางมัลลิกา พระมเหสีทราบเรื่องเข้า จึงทูลให้ไปขอคำแนะนำจากพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธองค์ก็ได้ทรงทำนายว่า เหตุร้ายนั้นจะมีแน่นอน เพียงแต่มิใช่เกิดแก่พระเจ้าปเสนทิโกศล หรือแว่นแคว้นของพระองค์ แต่เหตุร้ายเหล่านี้จะเกิดแก่สัตว์โลกทั่วๆ ไป และแก่พระศาสนาของพระพุทธองค์ในภายภาคหน้า เมื่อล่วงเลยพุทธกาลไปแล้ว 2500 ปี เมื่อศาสนาเสื่อมลง (กล่าวกันว่า อายุของพุทธศาสนาในกัลป์นี้ ยืนยาวเพียง 5,000 ปี หลังจากนั้น ต้องรอยุคของพระศรีอาริยเมตตไตรย์ พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปเสด็จมาโปรดสัตว์)

ความฝันของพระเจ้าปเสนทิโกศล และคำทำนายของพระพุทธเจ้าทั้ง 16 ประการ ประกอบด้วย


1.
ทรงฝันว่า มีโคตัวผู้สีเหมือนดอกอัญชัญ 4 ตัว ต่างคิดจะชนกัน ก็พากันวิ่งมาสู่ท้องพระลานหลวงจาก 4 ทิศ ฝูงชนต่างรอดู โคทั้งสี่ก็ส่งเสียงคำรามลั่น แต่แล้วต่างก็ถอยออกไป ไม่ชนกัน - พระพุทธเจ้าได้ทรงทำนายว่า ในอนาคตในชั่วศาสนาของพระองค์ เมื่อโลกหมุนไปถึงจุดที่เสื่อมลง มนุษย์ไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ฝนฟ้าจักแล้ง ทุพภิกขภัยจักเกิดขึ้น คล้ายเมฆตั้งเค้าจะมีฝน มีเสียงคำรามกระหึ่ม แต่แล้วก็ไม่ตก กลับเลยหายไป เหมือนโคตั้งท่าจะชนกัน แต่ไม่ชนกันฉะนั้น


2.
ทรงฝันว่า ต้นไม้เล็กๆ และกอไผ่ที่โตเพียงคืบบ้าง ศอกบ้าง ก็ออกดอกออกผลแล้ว - พระพุทธองค์ทรงทำนายว่า ต่อไปเมื่อโลกเสื่อม มนุษย์แม้จะมีอายุเยาว์ มีวัยยังไม่สมบูรณ์ก็จะมีราคะกล้า และสมสู่กันตั้งแต่อายุยังน้อย และจะมีลูกแต่เด็กๆ เหมือนต้นไม้เล็กๆ แต่ก็มีผลแล้ว


3.
ทรงฝันว่า ทรงเห็นแม่โคใหญ่ๆ พากันดื่มนมของฝูงลูกโคที่เพิ่งเกิด - ทรงทำนายว่า ต่อไปในอนาคตการเคารพนบนอบผู้ใหญ่ เช่น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์จะเสื่อมถอย คนเฒ่าคนแก่พ่อแม่เมื่อหมดที่พึ่ง หาเลี้ยงตนไม่ได้ ก็ต้องง้อ ต้องประจบเด็กๆ ดังที่แม่โคที่ต้องกินนมลูกโคฉะนั้น


4.
ทรงฝันว่าผู้คนไม่ใช้วัวตัวใหญ่ ที่สมบูรณ์แข็งแรงเทียมแอกลากเกวียน กลับไปใช้โครุ่นๆ ที่ยังปราศจากกำลังมาลาก เมื่อมันลากเกวียนให้แล่นไม่ได้ มันก็สลัดแอกนั้นเสีย - ทรงทำนายว่า ในภายหน้าเมื่อผู้มีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม แทนที่จะยกย่องและมอบหมายหน้าที่ ให้กับผู้มีสติปัญญา ความรู้ กลับไปมอบยศศักดิ์ให้กับคนหนุ่มที่อ่อนหัด ด้อยประสบการณ์ ทำให้ปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดี กิจการต่างๆ ก็ไม่สำเร็จ ก็เหมือนใช้โครุ่นมาเทียมแอก เกวียนก็แล่นไม่ได้ฉันใด ก็ฉันนั้น


5.
ทรงฝันว่าเห็นม้าตัวหนึ่ง มีปากสองข้าง ฝูงชนก็เอาหญ้าไปป้อนที่ปากทั้งสองข้าง มันก็กินทั้งสองข้าง - ทรงทำนายว่า ในอนาคตเมื่อผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจไม่ดำรงอยู่ในธรรม ตั้งคนพาล หรือคนไม่มีศีลธรรมไว้ในตำแหน่งอันมีผลต่อผู้อื่น คนเหล่านั้นก็จะไม่นึกถึงบาปบุญ คุณโทษ แต่จะตัดสินคดีต่างๆ ตามแต่ใจชอบ โดยเอาสินบนจากทั้งสองฝ่ายเป็นประมาณ ดังม้าที่กินหญ้าทั้งสองปาก


6.
ทรงฝันว่าฝูงชนเอาถาดทองราคาแพง ไปให้หมาจิ้งจอกแก่ตัวหนึ่ง พร้อมเชื้อเชิญให้หมาจิ้งจอกตัวนั้น ถ่ายปัสสาวะใส่ถาดทองนั้น - ทรงทำนายว่า ต่อไปคนดีมีสกุลทั้งหลายจะสิ้นอำนาจวาสนา คนตระกูลต่ำ หรือคนพาลจะได้เป็นใหญ่เป็นโต และคนมีตระกูล ก็จะต้องยกลูกสาว ให้แก่ผู้ไร้ตระกูลเหล่านั้น เหมือนเอาถาดทองไปให้หมาปัสสาวะรด


7.
ทรงฝันว่า มีชายคนหนึ่งนั่งฟั่นเชือก แล้วหย่อนไปในที่ใกล้เท้า แม่หมาจิ้งจอกโซตัวหนึ่ง นอนอยู่ใต้ตั่งที่บุรุษนั้นนั่งอยู่ แล้วก็กัดกินเชือกนั้น โดยที่เขาไม่รู้ตัว - ทรงทำนายว่า ในกาลข้างหน้า ผู้หญิงจะเหลาะแหละ โลเล ลุ่มหลงในสุรา เอาแต่แต่งตัว เที่ยวเตร่ ประพฤติทุศีล แล้วก็จะเอาทรัพย์ที่สามีหาได้ด้วยความลำบากไปใช้ หรือให้ชายชู้ เหมือนนางหมาโซที่นอนใต้ตั่ง คอยกัดกินเชือกที่เขาฟั่น และหย่อนลงไว้ใกล้เท้า


8.
ทรงฝันว่ามีตุ่มน้ำเต็มเปี่ยมตุ่มหนึ่งวางอยู่ตรงประตูวัง แวดล้อมด้วยตุ่มว่างๆ เป็นอันมาก แต่คนก็ยังไปตักน้ำใส่ตุ่มที่เต็มอยู่ จนล้นแล้วล้นอีก โดยไม่เหลียวแลจะตักใส่ตุ่มที่ว่างๆ นั้นเลย - ทรงทำนายว่า ในอนาคต เมื่อศาสนาเสื่อม คนเป็นใหญ่หรือมีอำนาจ จะเบียดเบียนหรือเอาเปรียบผู้ด้อยกว่า คนที่รวยอยู่แล้ว ก็จะมีคนจนหารายได้ ไปส่งเสริมให้รวยยิ่งขึ้น ดังฝูงชนที่ต้องตักน้ำใส่ตุ่มใหญ่ที่เต็มอยู่แล้วจนล้น ส่วนตุ่มที่ว่างอยู่กลับไม่ไปใส่น้ำ


9.
ทรงฝันเห็นสระแห่งหนึ่ง มีบัวนานาชนิดขึ้นอยู่เต็ม และมีท่าขึ้นลงโดยรอบ สัตว์ต่างๆ ก็พากันดื่มน้ำในสระ แต่แทนที่น้ำบริเวณที่สัตว์เหยียบย่ำจะขุ่น กลับใสสะอาด ส่วนน้ำที่อยู่ลึกกลางสระที่สัตว์ไม่ไปดื่มหรือ เหยียบย่ำแทนที่จะใส กลับขุ่นข้น - ทรงทำนายว่า ต่อไป เมื่อคนมีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม ขาดเมตตา คอยใช้อำนาจ รีดนาทาเร้นหรือกินสินบน ชาวบ้านชาวเมือง ก็จะหนีไปอยู่ตามชายแดนหรือที่อื่นๆ ทำให้ที่นั้นๆ ที่คนพากันไปอยู่มีความมั่นคงเป็นปึกแผ่น เหมือนน้ำรอบๆ สระที่ใส ส่วนเมืองหลวงกลับว่างเปล่า เหมือนกลางสระที่ขุ่น


10.
ทรงฝันว่า เห็นข้าวที่คนหุงในหม้อใบเดียวกัน สุกไม่เท่ากัน โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ข้าวแฉะ ข้าวดิบ และข้าวสุกดี - ทรงทำนายว่า ในอนาคต เมื่อคนทั้งหลายไม่อยู่ในศีลในธรรมกันมากขึ้น ก็จะทำให้ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล หรือตกไม่ทั่วถึง ทำให้การเพาะปลูกบางแห่งได้ผล บางแห่งก็ไม่ได้ผล เช่นเดียวกับข้าวที่มีสุกบ้าง ดิบบ้าง และแฉะบ้าง


11.
ทรงฝันว่าคนนำแก่นจันทน์ที่มีราคาแพง ไปแลกกับเปรียงเน่า (อ่านว่า เปฺรียง มี 3 ความหมาย คือ 1. นมส้มผสมน้ำแล้วเจียวให้แตกมัน 2.น้ำมันจากไขข้อวัว และ 3.เถาวัลย์เปรียง แต่ในที่นี้น่าจะหมายถึงเถาวัลย์เปรียง เทียบกับแก่นจันทน์ที่เป็นไม้เหมือนกันมากกว่า 2 ความหมายแรก) - ทรงทำนายว่า กาลภายหน้า พระภิกษุอลัชชีเห็นแก่ได้ทั้งหลาย แทนที่จะนำธรรมะ ที่พระพุทธองค์สอน ไปสอนสั่งให้คนหลุดพ้นจากความทุกข์ และละความโลภ กลับใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหากิน หาปัจจัยบริจาคเข้าตัวเอง เหมือนเอาแก่นจันทน์ (ธรรมะคำสอนที่ดี) ไปแลกเอาเถาวัลย์เน่า (ลาภอามิสที่ได้รับมา ซึ่งไม่จีรังและไม่ช่วยให้พ้นทุกข์จริงๆ ได้)


12.
ทรงฝันเห็นกระโหลกน้ำเต้าจมน้ำได้ - ทรงทำนายว่า ต่อไปคำพูดของคน ที่ไม่ควรจะได้รับความเชื่อถือ กลับจะได้รับความเชื่อถือ โดยเปรียบถ้อยคำของคนที่ไม่น่าเชื่อว่ามีน้ำหนักเบาเหมือนกับผลน้ำเต้า ซึ่งปกติจะลอยน้ำ แต่เมื่อคนเชื่อว่าคำพูดเหล่านั้นมีน้ำหนัก หรือหนักแน่น จึงเปรียบคำพูดนั้นว่ามีน้ำหนัก ราวกับน้ำเต้าที่จมน้ำได้


13.
ทรงฝันว่าศิลาแท่งทึบขนาดเรือน ลอยน้ำได้เหมือนเรือ - ทรงทำนายว่า ถ้อยคำของคนที่ควรได้รับการเชื่อถือ ซึ่งหนักแน่น มีน้ำหนักเปรียบประดุจแท่งศิลา กลับไม่ได้รับความเชื่อถือ หรือกลายเป็นถ้อยคำที่ไม่มีน้ำหนักเหมือน เรือที่ลอยได้ ข้อนี้ตรงกันข้ามกับข้อที่แล้ว คือ คนหันไปเชื่อคำพูดคนที่ไม่ควรเชื่อ เหมือนสิ่งที่ควรลอยกลับจม สิ่งที่ควรจมกลับลอย


14.
ทรงฝันว่า ทรงเห็นฝูงเขียดตัวเล็กๆ วิ่งไล่กวดงูเห่าตัวใหญ่ และกัดเนื้องูเห่าขาดเหมือนกัดก้านบัว แล้วกลืนกินเข้าไป - ทรงทำนายว่า เมื่อมนุษย์ปล่อยตัวปล่อยใจตามกิเลส ราคะ สามีจะตกอยู่ในอำนาจของเมียเด็ก และจะถูกดุด่าว่ากล่าวเช่นเดียวกับคนรับใช้ เหมือนเขียดตัวเล็กๆ แต่กลับกินงูได้


15.
ทรงฝันว่า ฝูงพญาหงส์ทอง ที่มีขนเป็นทอง ถูกแวดล้อมด้วยกา - ทรงทำนายว่า ในอนาคตผู้มีตระกูลต้องไปเที่ยวประจบ และสวามิภักดิ์ต่อผู้ไม่มีตระกูล เหมือนหงส์ทองแวดล้อมด้วยกา


16.
ทรงฝันว่า ฝูงแกะพากันไล่กวดฝูงเสือเหลือง และกัดกิน ทำให้เสืออื่นๆ สะดุ้งกลัว จนต้องหนีไปแอบซ่อนตัวจากฝูงแกะ - ทรงทำนายว่าต่อไปภายหน้า คนชั่ว หรือคนที่ไม่ดีจะเรืองอำนาจ และใช้อำนาจเป็นธรรม ทำให้คนดีถูกทำร้าย หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม ต้องหลบหนี ซ่อนตัวจากภัยร้ายเหล่านี้ เหมือนเสือซ่อนตัวจากแกะ


เมื่อพิจารณาความฝัน จะเห็นว่าหลายข้อในความฝัน เป็นสิ่งที่ผิดไปจากธรรมชาติ เช่น แม่โคกินนมลูกโค ม้าสองปาก เขียดกินงู และแกะกินเสือ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนมีนัยอันไปสู่พุทธทำนายทั้งสิ้น หลายคนอาจจะสงสัยว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์ในสมัยพุทธกาล ทำไมฝันได้ไกลไปถึงอนาคต อันไม่เกี่ยวข้องกับพระองค์ได้ถึงเพียงนี้ ผู้เขียนเชื่อว่าคงเป็นเพราะเทวดาดลใจ ให้พระองค์ฝันแปลกประหลาด เพื่อพระบรมศาสดาจะได้ฝากพุทธทำนายเป็นคำพยากรณ์อันอมตะไว้ เป็นเครื่องเตือนสติ ให้มนุษย์โลกได้ตระหนัก และระมัดระวังภัยพิบัตินานัปการ ที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า หลังจากที่พระพุทธองค์ดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว เพราะคงเล็งเห็นด้วยญาณวิเศษแล้วว่า นับวันคนเราก็จะห่างไกลจากหลักธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ จนเป็นเหตุให้มนุษย์มุ่งทำลาย เอารัดเอาเปรียบทั้งเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง และสิ่งแวดล้อมรอบตัว เพื่อกอบโกยไปบำรุงบำเรอกิเลสแห่งตน โดยขาดความรัก ความเมตตาต่อกัน จึงทำให้คนเห็นแก่ตัว และมีผลให้สภาพแวดล้อม ธรรมชาติแปรปรวนไปหมด


ในปัจจุบัน เหตุการณ์หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ เช่น ฝนแล้ง อันทำให้เพาะปลูกได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง ปัญหาเรื่องศีลธรรมและจริยธรรม เช่น เด็กและเยาวชนแก่แดดขึ้น มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยเพิ่มขึ้น ลูกขาดความกตัญญู และความเคารพยำเกรงต่อพ่อแม่ อลัชชีหรือพระทุศีลมีมากขึ้น ชายแก่ตกอยู่ในอำนาจเมียเด็ก หรือปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม เช่น คนขาดความรู้ประสบการณ์ ได้รับแต่งตั้งให้ปกครองบ้านเมืองเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้มีอำนาจรับสินบน ก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป คนรวยยิ่งรวยเพราะมีช่องทาง และโอกาสเอาเปรียบคนจน เหมือนตุ่มใหญ่ที่คนตักน้ำไปใส่จนเต็มแล้วเต็มอีก แล้วปล่อยตุ่มเล็กให้ว่างเปล่า ตัวอย่างเหล่านี้ ล้วนไม่พ้นคำพยากรณ์ที่ทรงทำนาย บอกแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลว่า จะเกิดขึ้นในอนาคตของสมัยโน้น ก็คือ สมัยนี้หรือปัจจุบันนั่นเอง


อย่างไรก็ดี ก็ยังมีพุทธทำนาย เพิ่มเติมที่มีผู้ถอดความจากศิลาจารึก เชตมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย ความว่า พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า “....เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคนั้น จะพบกับความลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนเวียนไปใกล้ความแตกทำลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ คนในสมัยนั้น(ปัจจุบัน) จะมีวิสัยโหดดุจกำเนิดจากสัตว์ป่าอำมหิต จะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคต ก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัย และคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎธรรมชาติไม่พ้น...ในระยะนั้นศาสนาของตถาคตเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม เชื่อคำของคนโกง กล่าวคำเท็จ ไม่เคารพหลักธรรมนิยม คนประจบสอพลอได้รับการเชื่อถือในสังคม ผู้มีศีลธรรมประพฤติชอบ กลับไม่มีคนเคารพยำเกรง พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศ มีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่ง


เมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ (น่าจะหมายถึงพระศรีอาริยเมตตไตรย์)....จะเสด็จมาเสริมสร้างพระศาสนา ของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปอีก 5,000 พระวรรษาคำทำนายของตถาคตนี้ ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับเป็นกรรมของสัตว์โลกที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติ ให้รักษาศีลห้าประการ เจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษ รู้จักพอ ไม่หลงมัวเมาในอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตนตามคำสอนของตถาคตให้มั่นคง จึงจะพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาลนี่คือพุทธทำนายที่ทรงตรัสไว้ กว่า 2500 ปีล่วงมาแล้ว ส่วนใครจะเชื่อ จะปฏิบัติหรือไม่อย่างไร ก็คงเป็นไปตามกรรม ของแต่ละคนดังพระพุทธองค์ว่าไว้

กรุณาส่ง แผนที่ไปทำบุญ วันที่ 15 มกราคม 2554 พร้อมกำหนดการให้ด้วย.....

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท