Chapter 4 เราต้องรอดให้ได้


วันที่สี่เดือนสิงหาคมสิ่งที่ผมตั้งหน้าตั้งตาศึกษามาแรมเดือนหายไปในพริบตา เมื่อมีนโยบายบริษัทมาว่าหากเราไม่มีชิ้นส่วนหลักสามประเภทอันได้แก่ CPU, Harddrive, และ Mainboard ใน portfolio แล้ว บริษัทของเราก็จะไม่ลงทุนอย่างจริงจังในตลาด Components ด้วยเหตุผลที่ว่าบริษัทต้องการความมั่นใจว่าเม็ดเงินที่ใช้ในการหมุนเพียงพอที่จะผลักด้นสินค้าบางตัวอื่นๆ ที่ขายยาก เช่นหาก ODD ของเราขายไม่ค่อยดี เราก็ยังมีกำไรจากการขาย CPU มาช่วยค้ำจุนไว้ แต่นอกจากนี้ผมยังจับความรู้สึกภายในองค์กรได้ว่าท่านรองประธานไม่อยากจะลงทุนในตลาด Components ตั้งแต่แรกแล้ว อาจจะเป็นเพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาของแก ทำให้แกมองว่าตลาดนี้ไม่น่าลงทุนก็เป็นไร

เนื่องจากความไม่พร้อมของสินค้าใน portfolio พี่ตู่จึงตัดสินใจชะลอการบุกตลาด Components และหันมาให้ความสนใจกับ SB Project มากขึ้น ในขณะที่ท่านรองประธานเองก็ได้ส่งสินค้าตัวใหม่มาให้อยู่ในความดูแลของแผนกเราอีกตัว นั่นก็คือ one of the world best digital music player ด้วยความเป็นแบรนด์ชั้นนำและชื่อเสียงความเป็นหนึ่งในด้านดีไซน์การใช้งานของบริษัทผู้ผลิตน่าจะทำให้สินค้าตัวนี้เป็นสินค้าที่ไปได้สวยเลยทีเดียว แต่สินค้าตัวนี้กลับถูกวางอยู่นิ่งๆ ในสต็อกมานานกว่าสองเดือนโดยไม่มีใครในบริษัทของเราเลยที่สามารถทำให้สินค้าตัวนี้ติดตลาดในประเทศไทยได้

ผมใช้เวลาอยู่ราวอาทิตย์เพื่อศึกษาผลิตภัณฑ์และข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในบริษัท มีปัจจัยที่น่าสนใจอยู่ 2 ด้าน ปัจจัยภายในพบว่ามีการเปลี่ยน PM มาแล้วถึง 3 คนในเวลาสองเดือนเพื่อมาดูแลสินค้าตัวนี้ สาเหตุอาจเป็นเพราะการได้มาซึ่ง Exclusive right จาก relationship ของผู้ใหญ่ทำให้บริษัทต้องสั่งสินค้าเข้ามาจำนวนมากกว่าความเป็นจริง ปัจจัยภายนอกมาจากการที่ตลาดในไทยยังอยู่ในช่วง Early market ที่ต้องการพวก Techies หรือ Visionaries เป็นผู้ทดลองซื้อสินค้า แต่คนพวกนี้กลับไม่สนใจสินค้าในประเทศ เนื่องจากตนเองสามารถหาซื้อจากเมืองนอกได้โดยตรง ไม่ว่าจะหิ้วเข้ามาเอง หรือฝากคนรู้จักซื้อ เมื่อคนกลุ่มนี้ไม่ซื้อและคนกลุ่มใหญ่ยังไม่รู้จัก ทำให้ supply เข้ามาเกิน demand ที่น่าจะรับได้ ดังนั้น PM ผู้มีประสบการณ์จึงไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของบริษัท เกิดการต่อต้านและไม่จริงจังกับสินค้าตัวนี้ ทำให้ตอนนี้งบ MDF ได้ถูกนำใช้ไปกับการลงโฆษณาจนหมด ผมไม่มีเงินเหลือพอที่จะทำอะไรได้เลย พี่ตู่ก็ยุ่งไม่รู้จะไปปรึกษาใคร

แล้วสัปดาห์ที่สองของเดือนสิงหาคมก็กำลังจะผ่านไปพร้อมกับการเข้ามาของหัวหน้าคนใหม่ของผมในตำแหน่ง Marketing Manager (ซึ่งก็อยู่เหนือ Product Manager อย่างผมขั้นนึง) ตอนนี้ผมมีหัวหน้าสองคน มีผลิตภัณฑ์หลักที่ต้องดูแลสองตัว คือ เจ้า CE PC และ Digital music player สำหรับหัวหน้าคนใหม่นี้ผมขอนับถือ และเรียกแกว่า The real marketer จากการที่บุคลิคลักษณะของเธอไปตรงกับนิยามที่กล่าวว่า “นักการตลาดคือคนที่กลับขาวให้เป็นดำ หรือทำสีดำให้เป็นสีเทาๆ ได้”

หัวหน้าคนใหม่ได้แสดงฝีมือให้เห็นประจักษ์เป็นครั้งแรกในการประชุมกับ supplier ผู้ผลิตเจ้า digital music player และให้คำมั่นว่าจะกำจัดสต็อกที่มีอยู่กว่าพันตัวให้หมดภายในสองอาทิตย์ ทั้งๆ ที่ผมเองซึ่งดูการเคลื่อนไหวของสต็อกมาอยู่อาทิตย์นึงเพิ่งจะเห็นว่ามันขายออกไปนับแล้วยังไม่ถึงหลักสิบเสียด้วยซ้ำไป และอย่างที่บอกมันนอนนิ่งๆ ในสต็อกอยู่เป็นเดือนแล้ว ทุกคนทราบข้อมูลนี้ดี แต่เธอสามารถพูดจน supplier เชื่อได้ โดยเปลี่ยนประเด็นมุ่งไปที่การเจรจาต่อรองเรื่องงบประมาณ MDF ทุกอย่างจึงกลายเป็นปริศนาสำหรับผม เธอจะทำอย่างไรกับสิ่งที่เธอรับปากไว้

ในมุมมองจากลูกน้องตำแหน่งเล็กๆ ที่เฝ้าดูหัวหน้า พี่ตู่มีการทำงานที่เป็นระบบ ระเบียบ มีแบบแผน ต้องการข้อมูลที่เที่ยงตรงสนับสนุนการตัดสินใจ ในขณะที่หัวหน้าคนใหม่เป็นขาบู๊ นักขายฝัน และนักเจรจาต่อรองที่เก่งกาจเลยทีเดียว หัวหน้าทั้งสองคนของผมเก่งคนละแบบ แม้จะเป็นระยะเวลาไม่นาน ผมก็ได้ศึกษาแนวคิดในการทำงานจากคนทั้งสองได้พอควร

แต่แล้วชีวิตการเรียนรู้ของผมก็ต้องจบไป เมื่อเกิดความขัดแย้งในอำนาจการสั่งการเกิดขึ้น หากผู้ปฏิบัติงานคนหนึ่งได้รับคำสั่งมาจากสองแหล่งเค้าควรจะวาง priority ให้กับงานไหนก่อน พอดียุคนั้นยังไม่มี dual core ผมคนเดียวไม่สามารถทำงานด่วนที่สั่งโดยหัวหน้าทั้งสองได้พร้อมกัน เลยมีคนมองว่าจะปกครองกันได้ต้องมีอำนาจขาดในการสั่งการ เพราะผมอาจจะอ้างถึงงานอีกชิ้นหนึ่งที่พี่ตู่สั่งแล้วหัวหน้าคนใหม่ไม่รู้เรื่อง หรือผมอาจจะไม่รับผิดชอบจริงๆ กับงานที่หัวหน้าคนใหม่สั่งก็เป็นได้ ดังนั้นสุดท้ายพี่ตู่จึงค่อยๆ หายไป พร้อมกับการที่ผมต้องรายงานตรงกับหัวหน้าคนใหม่เท่านั้น

แล้วเจ้า digital music player เจ้าปัญหาก็เริ่มกลายเป็นประเด็นร้อนในบริษัทจนถึงขั้นที่รองประธานต้องมาควบคุมด้วยตัวเอง เราเริ่มจากการประชุมใหญ่ทั้งฝั่ง Sales และ Product โดยข้อสรุปก็คือต้องเร่งทำการขยาย Channel และการกระจายสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่า digital music player ตัวนี้กำลังบุกตลาดไทย รองประธานสั่งให้ทำ Marketing material อย่างเช่น Stand banner ไปวางตามหน้าร้านลูกค้าเพื่อให้ผู้บริโภคได้เห็นผลิตภัณฑ์จนติดตา นอกจากนี้ก็ได้สั่งให้รีบติดต่อกับค่ายเพลงใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็น Grammy หรือ RS ให้ผลิต CD เพลงในรูปแบบที่เป็น digital file เพื่อรองรับการใช้งานของเจ้าเครื่องเล่นของเรา แล้วงานปริมาณมหาศาลก็ทยอยเข้ามา มีเรื่องให้คิดให้ทำ จนคิดว่าไม่มีทางทำได้เสร็จ ผมจะทำยังไงกับชีวิตวุ่นๆ นี้ดีแหละครับ

หมายเลขบันทึก: 108493เขียนเมื่อ 4 กรกฎาคม 2007 10:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 19:18 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท