สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพะเยา ได้ส่งเสริมการปฏิบัติธรรมบุคลากร ภาครัฐ เอกชน สมาคม มูลนิธิ และประชาชน หลักสูตร7 วัน ที่ดอยบุษราคัม วัดอนาลโย จังหวัดพะเยา
ไม่สนใจไปปฏิบัติธรรมเพราะคิดว่าเป็นอะไรที่คิดว่าเสียเวลา
มีหนังสือแจ้งมาทางหน่วยงานฉบับแรก ไม่มีผู้สนใจไปปฏิบัติธรรม จากนั้นมีหนังสือฉบับที่ 2 รุ่นที่ 4 มาอีก บอกว่าต้องมีผู้ไปปฏิบัติธรรม ครูณัฐจึงสมัครเป็นคนแรก (โดยในใจคิดว่า ไม่เห็นยากอะไร ถือว่าเป็นการไปพักผ่อน แค่นั่ง ๆ และเดินช้า ๆ ไปเรื่อยๆทุกวัน) จากนั้นก็มีครูคนอื่น ๆ ลงชื่อไปกันหลายคน
ยังยึดมั่นถือมั่น
วันแรกที่ไป มีคนบอกว่าให้ไปก่อนเพื่อจะได้เลือกห้องพักที่สบาย ถ้าไปทีหลังจะได้นอนนอกห้อง ยุงกัด (ยังไม่ปล่อยวาง) พอไปก็หาที่นอนเป็นห้องติดแอร์ มีห้องน้ำในตัวเสร็จ ปรากฏว่าตอนเย็นมีเพื่อนนักปฏิบัติธรรมเข้ามาอยู่ในบ้านด้วย และบอกว่าแพ้ยุง นอนไม่ค่อยหลับ เราต้องเสียสละที่นอนให้ สุดท้ายได้ไปนอนบนแหย่ง (ปล่อยวางแล้วค่ะ หลับสบายดีด้วย)
การเอาชนะความปวดในการนั่งสมาธิ
วันแรกที่ปฏิบัติธรรม รู้สึกปวดเมื่อยที่สุดในชีวิต (ทุกข์เวทนามาก) เพราะไม่เคยไปนั่งปฏิบัติธรรมแบบนี้ ปวดหลัง ปวดเอว ปวดกล้ามเนื้อ
ช่วงเช้า เริ่มตั้งแต่ตี 4 โดยการสวดมนต์ นั่งสมาธิ และได้พักทานข้าว 7.00 น และ 8.00 - 11.00 น. สวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ
ช่วงบ่าย เริ่ม 13.00 น ถึง 17.00 น. สวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ
ช่วงเย็น เริ่ม18.00 น. ถึง 21.00 น. สวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ
วันแรกของการปฏิบัติธรรม โดยเดินจงกรมช่วงบ่าย ต้องออกไปหาเจ้าหน้าที่ เพราะจะเป็นลม วันที่สองของการปฏิบัติธรรม ได้ถามกับตัวเองว่า เราต้องมาทนทุกข์ทรมานอย่างนี้เพื่ออะไร "ถ้าเรากลับตอนนี้ เราก็จะเป็นคนมีกรรม เพราะปฏิบัติธรรมไม่ได้ แต่ถ้าเราทนปฏิบัติในสำเร็จทั้ง 7 วัน เราก็จะไม่มีกรรม ใช่หรือไม่" ถามตัวเองและหาวิธีเอาชนะตัวเองให้ได้
เริ่มมองเห็นทางสว่าง
พอวันที่ 4 5 6 เริ่มรู้สึกดีขึ้น เอาชนะความเจ็บปวดได้ และรู้สึกว่าจิตใจสงบขึ้น เริ่มควบคุมสมาธิ ความรู้สึกกังวลต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ได้คิดว่า "ร่างกายกับจิตใจ ถ้าเราแยกกันได้ ความทุกข์ก็จะทุเลาลงได้" ความรู้สึกหนักตัว เดินชนนั่นชนนี่ก็ไม่ค่อยมี เพราะรู้สึกว่ามีสติในขณะที่เดิน และค่อย ๆ คิดอะไรได้เป็นลำดับขั้น ไม่สับสนเหมือนแต่ก่อน
ผลที่ได้โดยไม่คาดหวัง
1. อาการปวดหลังหายเป็นปลิดทิ้ง จากการนั่งสวดมนต์ ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น สังเกตเห็นพระอาจารย์นั่งนิ่งในท่าคู้เข่าชันเท้า นานมากประมาณ 20 นาที จนถึงบทสวดหนึ่งที่เขียนไว้ว่า "ให้นั่งพับเพียบ" พระอาจารย์จึงนั่งพับเพียบลง ครูณัฐลองปฏิบัติตามไม่นั่งพับเพียบก่อน ตอนแรกเป็นเหน็บชา เจ็บขามาก ทนเอา พอปฏิบัติไปได้ซัก 2 วัน รู้สึกว่า อาการปวดหลัง ปวดเอว หายเป็นปลิดทิ้งจนถึงทุกวันนี้
2. การอดอาหารเย็น ปกติเราทานอาหารเย็นมาก อดไม่ได้ การไปปฏิบัติธรรมครั้งนี้ ทำให้เราได้ฝึกตัวเอง และรู้สึกดีขึ้นมาก ไม่ลุกมาเข้าห้องน้ำในตอนดึก ไม่รู้สึกปวดเมื่อยตามตัว หลับสบายจนถึงเช้า เมื่อกลับมาบ้านตอนเย็นทานน้อยลง ทานแค่นม หรือน้ำข้าวกล้อง รู้สึกร่างกายดีมาก
3. บทสวดมนต์มีแปลเป็นภาษาไทย และเวลาท่องเราก็จะท่องเป็นภาษาไทย ทำให้เราได้พิจารณาถึงความหมายไปด้วย ทำให้เข้าใจถึงหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ซึ่งเดิมครูณัฐไม่เคยรู้เลย และมีบทสวดหนึ่ง คือ "กราบไหว้ 5 ครั้ง" ซึ่งจะต้องสวดทุกครั้งก่อนพัก ทุกคนสวดแล้วจะซาบซึ้งมาก และบางคนก็ร้องไห้ เพราะเป็นบทสวดที่ไพเราะ มีทำนอง บทสวดนั้น มีเนื้อหาดังนี้ค่ะ
กราบไหว้ 5 ครั้ง
ยกมือขึ้นเถิดหนา ไหว้บูชาพระรัตนตรัย
บูชาคุณพระพุทธที่บริสุทธิ์และผ่องใส
บูชาคุณพระธรรมที่ท่านน้อมนำเชิดชูไว้
บูชาคุณพระสงฆ์ที่ท่านดำรงค์พระศาสนา
บูชาบิดามารดาที่เลี้ยงเรามาจนเติบใหญ่
บูชาครูบา-อาจารย์ที่ท่านบันดาลวิชาให้ไว้
บูชาห้าอย่างนี้จำให้ดีนะท่านเอย
เตรียมตัวกราบเถิดหนาท่านที่มาในกองทัพธรรม
กราบหนึ่ง คุณพระพุทธที่บริสุทธิ์และผ่องใส
กราบสอง คุณพระธรรมที่ท่านน้อมนำเชิดชูไว้
กราบสาม คุณพระสงฆ์ที่ท่านดำรงค์พระศาสนา
กราบสี่ บิดามารดาที่เลี้ยงเรามาจนเติบใหญ่
กราบห้า ครูบา-อาจารย์ที่ท่านบันดาลวิชาให้ไว้
กราบไหว้ให้ได้ห้าครั้ง เพื่อพลังพระศาสนา
ต่อไปในภายภาคหน้า เราจะถึงซึ่งพระนิพพาน
เราจะถึงซึ่งพระนิพพาน เราจะถึงซึ่งพระนิพพาน
ก่อนอื่นต้องขอใช้คำสรรพนามแทนตัวเองว่าข้าพเจ้า ก็เพราะว่าเป็นสรรพนามที่สุภาพและไพเราะดีค่ะ
ข้าพเจ้าก็ไปเข้าค่ายธรรมะ ที่วัดอานาลโยมาเช่นเดียวกันกับครูณัฐค่ะ
ความรู้สึกก่อนไป ก็ดีใจมาก เพราะได้เคยลั่นวาจาว่าชาตินี้ยังไงก็จะบวชเป็นชีพราหมณ์ให้ได้ โครงการนี้ก็ทำให้เกิดสัจจะบารมีขึ้น
และเมื่อได้รับศีล 8 ได้นุ่งขาวห่มขาว ข้าพเจ้ายิ่งรู้สึกทราบซึ้งในธรรมะ จนบางครั้งคิดอยู่ว่าอยากจะอยู่เช่นนี้ไปนานๆ ข้าพเจ้าไม่หวังจะบรรลุเป็นพระอรหันต์ แต่ข้าพเจ้าหวังจะเป็นบุคคลที่คิดดี พูดดี ทำดี ให้ได้ตลอด
ในศีล 8 ซึ่งเป็นศีลที่บุคคลธรรมดาไม่สามารถจะถือปฏิบัติได้ เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ามีความยินดีเป็นที่สุด เพราะไม่ได้ดูทีวี ไม่ได้ฟังเพลง ไม่นอนที่นอนนุ่มๆ ไม่ต้องกินข้าวเย็น หากทำได้อย่างนี้ทุกวันข้าพเจ้าว่าคงจะประหยัดมากๆ และหุ่นดีด้วย (ขำขำนะคะ)
แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าได้มีมากกว่า ข้าพเจ้าได้เห็นทุกสิ่งในโลกเป็นธรรมดา ไม่เที่ยง ไม่แน่นอน และทำให้ข้าพเจ้ามองบุคคลรอบรอบข้างด้วยความไม่อคติ มองด้วยความที่ทุกๆคนเป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีกิเลส มีความยึดมั่นถือมั่น มีกรรมเป็นของตนเอง
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ข้าพเจ้ามีความสุขมากขึ้น ใจเย็นขึ้น ถ้ามีโอกาสอยากให้ชาวพุทธ ได้เข้าถึงธรรมะเช่นเดียวกับข้าพเจ้า สวัสดี