คิดนอกกรอบ (2)


การหยุดอยู่กับที่ คือการถอยหลัง

คุณฉันทนา  กองตองกาย  ถามผมเกี่ยวกับเรื่อง “คิดนอกกรอบ” ว่าเราสามารถที่จะนำเอาความคิดนอกกรอบมาใช้ในการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ได้ในแนวทางใดบ้าง  ยังสับสนอยู่  ศึกษาตำราและงานวิจัยหลายเล่ม  แต่ยังไม่ได้ความกระจ่าง  รบกวนผมให้ช่วยไขข้อข้องใจให้หน่อย  แถมขอบคุณล่วงหน้ามาด้วย

ผมก็ขอบคุณ  คุณฉันทนา  มากครับที่ทำให้ผมมีเรื่องเขียน  แม้จะเขียนตอบช้าหน่อย  ขอสารภาพว่าเวลาไม่เป็นใจกับความอยากเขียนเลยครับ

“คิดนอกกรอบ”  คือคิดอย่างไรครับ  ผมคิดเอาเองโดยไม่มีตำรานะครับ

“คิดนอกกรอบ”  คือ  คิดไม่เหมือนเดิม  มี 3 ลักษณะคือ

1.  คิดเพิ่มจากเดิม  เช่น  เคยทำงานในมุมมองเดียว  ก็เพิ่มมุมมองในการทำงานมากขึ้นจากเดิม  อาทิ  เคยขายก๋วยเตี๋ยวอย่างเดียว  ก็เพิ่มขายข้าวแกงด้วย  ขนมด้วย  เพิ่มความหลากหลายให้ลูกค้า  กิจการก็จะดีขึ้น

2.  เปลี่ยนกรอบคิด  เช่น  เป้าหมายการศึกษาเดิมคือ  คิดเป็น  ทำเป็น  แก้ปัญหาเป็น  ก็เปลี่ยนกรอบคิดและเปลี่ยนเป้าหมายเป็น  เก่ง  ดี  มีสุข  เดี๋ยวนี้เปลี่ยนกรอบคิดเป็น  คุณธรรมนำความรู้

3.  เปลี่ยนมุมมอง  คือ  ไม่มองในมุมเดิมๆ  เช่น  นิทานเรื่องเซลแมนขายรองเท้า  ที่ไปบนเกาะๆ เดียวกัน  แต่คนแรกเห็นว่าชาวเกาะไม่ใส่รองเท้า  ก็โทร. กลับไปบอกเจ้านายว่า  คงขายรองเท้าไม่ได้  แล้วก็จากไป  แต่เซลแมนคนที่สองที่เห็นอย่างเดียวกัน  แต่โทร.กลับไปบอกเจ้านายว่า  เราจะรวยกันใหญ่แล้วเพราะชาวเกาะไม่มีใครสวมรองเท้าเลย  เราต้องขายรองเท้าดีแน่ๆ

“คิดนอกกรอบ”  คือ  คิดตรงข้ามกับความคิดเดิม  เช่น  เดิมเคยมีความเชื่อว่า “โลกแบน”  ก็คิดตรงข้ามว่า “โลกกลม”  แล้วก็หาทางพิสูจน์ว่าโลกกลมโดยหาเหตุผลมาสนับสนุน  เช่น  เมื่อเรือแล่นเข้าฝั่ง  จะเห็นเสากระโดงเรือก่อนเห็นลำเรือ  แสดงว่ามีส่วนโค้งของโลกบังเรือไว้ก่อน  เป็นต้น

“คิดนอกกรอบ”  คือ  คิดในสิ่งใหม่ๆ  จากกรอบเดิม  เช่น  มีวิธีอื่นมากกว่าที่เรารู้  เราเห็นอีกหรือไม่  ที่จะทำให้ผลลัพธ์เกิดขึ้นเหมือนกัน  แต่ใช้วิธีที่แตกต่างกัน  ที่ผมชอบยกตัวอย่างเวลาสอนปรัชญาคือ  เดิมมนุษย์มีความเชื่อว่าการมีลูกเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น  ก็นำไปคิดต่อว่ามีวิธีอื่นอีกหรือไม่?  จนต่อมามีการศึกษาพบว่า  ไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ก็มีลูกได้  โดยการนำเชื้อของผู้ชายผสมกับรังไข่จนเกิดเป็นเด็กหลอดแก้ว  และคิดต่อไปอีกพัฒนาไปจนปัจจุบันไม่จำเป็นต้องใช้รังไข่และเชื้อผสมกันแล้ว  แต่ใช้เซลล์ที่เราเรียกว่าวิธี “โคลนนิ่ง” แทน

“คิดนอกกรอบ”  คือ  คิดและเชื่อไม่เหมือนคนอื่น  ผมพบร้านที่ตั้งชื่อแปลกๆ ในเชิงคิดนอกกรอบหลายร้าน  อาทิ  ร้าน 25 น.  ที่(คง)เชื่อว่าวันหนึ่งมีมากกว่า 24 ชั่วโมง  เป็นร้านอาหารที่คนกินและคนขายไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา  ร้าน 361 องศา Dare to be  เป็นร้านขายเครื่องกีฬาที่ออกแบบไม่ค่อยเหมือนใคร  เพราะกล้าที่จะเป็น  อาจจะเพราะคนอื่นมี 360 องศา  แต่เขามีมากกว่า 1 องศา  เป็นต้น

คนจะคิดนอกกรอบเก่ง  ต้องเรียนปรัชญา

เพราะปรัชญา  เป็นการสอนให้แสวงหาคำตอบ  แสวงหา “ความเป็นจริง” (Reality) เช่น  ผีมีจริงหรือไม่? คนตายแล้วไปไหน? การศึกษาคืออะไร? ความดีคืออะไร? แก้ความทุกข์ด้วยวิธีใด?

หากได้คำตอบ  พิสูจน์ได้  ก็หมดคำถาม

กลายเป็น  ความรู้ทางวิทยาศาสตร์  หรือ  ข้อเท็จจริง (Fact)

แม้กลายเป็นวิทยาศาสตร์แล้ว  เช่น  คำตอบของการมีลูกคำตอบสุดท้าย  คือ  “โคลนนิ่ง”  ก็ยังมีคำถามต่อไปอีกว่า  “ควรจะทำโคลนนิ่งมนุษย์หรือไม่?”  “การทำโคลนนิ่งผิดจริยธรรมหรือไม่?”  กลายเป็นคำถาม  หรือปรัชญาวิทยาศาสตร์ต่อไป

แบรนด์  แบลนด์ชาร์ด (Brand Blandshard) ได้ให้ข้อสังเกตเอาไว้ว่า  กิจกรรมของปรัชญา  เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นทั้ง “ก่อน”  และ “หลัง”  กิจกรรมของวิทยาศาสตร์

ผมนิยามคำว่า “คิดนอกกรอบ” ได้แค่นี้ครับ

อาจารย์สอนวิทยาศาสตร์  จะใช้ตัวอย่างอธิบายเรื่องโคลนนิ่ง  ก็คงพอจะได้

ผมมีอีกหนึ่งตัวอย่างที่เล่ากันบ่อยมาก

*โจทย์ในข้อสอบฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัย Copenhagen
โจทย์มีอยู่ว่า
จงอธิบายว่าท่านจะใช้บารอมิเตอร์วัดความสูงของตึกระฟ้าได้อย่างไร”

มีนศ.คนหนึ่งตอบว่า:
            “เอาเชือกยาวๆ ผูกกะบารอมิเตอร์แล้วหย่อนลงมาจากบนหลังคาแล้วก็เอาความยาวเชือกบวกความสูงบารอมิเตอร์ก็จะได้ความสูงของตึก”

            คำตอบนี้ทำให้อาจารย์ตัดสินว่านศ.คนนั้นสอบตก แต่ นศ.ผู้นั้นกลับยืนกรานว่าคำตอบของเขาควรจะถูกต้องอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

            ทางมหาวิทยาลัย จึงตั้งกรรมการมาตัดสินเรื่องนี้ กรรมการตัดสินว่าคำตอบนั้นถูกต้องอย่างแน่นอน แต่ไม่แสดงถึงความสามารถทางฟิสิกส์ให้เห็น

            เพื่อแก้ปัญหาทางกรรมการจึงให้เรียก นศ.คนนั้นมา แล้วให้เวลา 6 นาที  เพื่อหาคำตอบที่แสดงให้เห็นถึงความรู้ทางด้านฟิสิกส์

            กรรมการเตือนว่า เวลาจะหมดแล้ว นศ.ตอบว่า เขามีคำตอบมากมายที่เกี่ยวกับฟิสิกส์แต่ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะใช้คำตอบไหนดี

            เมื่อได้รับคำเตือนให้รีบ นศ. จึงตอบมาดังนี้ :
           ประการแรก ให้ เอาบารอมิเตอร์ขึ้นไปบนดาดฟ้าตึก ทิ้งลงมา จับเวลาจนถึงพื้น ความสูงของตึกหาได้จากสูตร H=0.5g*tกำลัง2 แต่น่าสงสารบารอมิเตอร์

            หรือถ้าแดดดี ให้วัดความสูงบารอมิเตอร์ วางให้ตั้งฉากพื้นแล้ววัดความยาวของเงาบารอมอเตอร์ วัดความยาวของเงาตึก แล้วคิดด้วยตรีโกณมิติก็จะได้ความสูงของตึกโดยไม่ต้องขึ้นไปบนตึกด้วยซ้ำ

            ถ้าเกิดอยากโชว์ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์มากกว่านี้ ก็เอาเชือกเส้นสั้นๆมาผูกกะบารอมิเตอร์แล้วแกว่งเหมือนลูกตุ้ม ตอนแรกก็แกว่งระดับพื้นดิน แล้วก็ไปแกว่งอีกทีบนดาดฟ้า ความสูงของตึกจะหาได้จากความแตกต่างของคาบการแกว่งเนื่องจากความแตกต่างของแรงดึงดูดจากจุดศูนย์กลางของมวล คำนวนจากT=2พายกำลัง2รากที่2ของl/g

            ถ้าตึกมีบันไดหนีไฟก็ง่ายๆ ก็เดินขึ้นไปเอาบารอมิเตอร์ทาบแล้วก็ทำเครื่องหมายไปเรื่อยๆจนถึงยอดตึก นับไว้คูณด้วยความสูงของบารอมิเตอร์ก็ได้ความสูงตึก

            ถ้าคุณต้องการเป็นคนที่น่าเบื่อและยึดถือตามแบบแผนจำเจซ้ำซาก คุณก็เอาบารอมิเตอร์วัดความดันอากาศที่พื้น และที่ยอดตึก คำนวนความแตกต่างของความดันก็จะได้ความสูงตึก

            แต่ถ้าเราเหน็ดเหนื่อยกับการคิดและการใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์แก้ปัญหา ทางที่ดีที่สุด ไปเคาะประตูห้องภารโรง แล้วบอกว่า ถ้าต้องการบารอมิเตอร์สวยๆ ใหม่เอี่ยมแล้วละก็ ช่วยบอกความสูงของตึกให้ผมที

          นศ.คนนั้นคือ นีล โบร์ ผู้ได้รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์

 *Copy จาก http://www.saranair.com/article.php?sid=10245

หมายเหตุ  กรอบเดิมคือ  การยึดถือตามแบบแผนจำเจ  ซ้ำซาก  ส่วนกรอบใหม่  หรือการคิดนอกกรอบที่ นีล โบร์  นำเสนอไว้มีถึง 6 กรอบ  เอาไปสอนคิดนอกกรอบในวิชาวิทยาศาสตร์ได้ครับ

เรื่องเล่าข้างต้น  เล่าต่อๆ กันมา  ผมก็เอาไปเขียนไว้ในคิดนอกกรอบ (1)  แต่มาพบที่คิดว่าเป็นต้นฉบับก็เลยขอ copy มานำเสนอ

ต้องเรียนคุณฉันทนาว่า  จะคิดนอกกรอบได้  ต้องมีความรู้มาก  อ่านมาก  ถามมาก  ฟังมาก  เขียนมาก  และคิดมากๆ ครับ

คุณสมบัติของผู้บริหารอย่างหนึ่งคือ  ต้องคิดทั้งในกรอบ  นอกกรอบ  และระหว่างกรอบ  จึงจะไล่ล่าอนาคตได้  และสุดท้ายต้องวิ่งหนีการไล่ล่าของผู้อื่นด้วย

การหยุดอยู่กับที่  คือการถอยหลังครับ

 

หมายเลขบันทึก: 106701เขียนเมื่อ 27 มิถุนายน 2007 11:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 03:56 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)
เหมือนหรือต่างจาก "คิดแนวข้าง" ของเอ็ดเวิร์ เดอะ โบโร่ไหมครับ แต่ผมว่าที่แน่ๆ ต่างจาก ตอบแบบเอาข้างเข้าถูแน่นอน ครับ

เคยอ่านหนังสือของอาจารย์เกรียงศักดิ์เกี่ยวกับแนวการคิดเชิงอนาคตมันเหมือนกันกับแนวคิดนอกกรอบเหมือนกัน  กรอบของสังคม  กรอบของตนเอง กรอบของความคิด  ความเชื่อ  ฯลฯ  อ่านมาก รู้มาก แต่ไม่ปฏิบัติก็คงจะไม่สามารถออกนอกกะลาได้เหมือนกบนะครับอาจารย์  ผมพยายามทำความเข้าใจการคิดนอกกรอบดังที่อาจารย์กรุณาเขียนไว้  ผมว่าการคิดนอกกรอบ  หรือคิดหลากทาง  หรือคิดรอบด้าน  สุดท้ายคือมีสติ ไม่ประมาท  ยิ่งคิดผมยิ่งงง   สุดท้ายผมเลยอยากเป็นกบ

อยากประสบความสำเร็จในชีวิตด้วยทางลัดคือไม่ต้องไปตามวงจรที่คนอื่นๆเป็น แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงใหนค่ะ ผู้รู้ช่วยแนะนำด้วย

ต้นแตงโม (ทศพล เกษมพร)

ตอบ คุณอนัตตา บุญล้อม

คนที่ประสบความสำเร็จนั้น ล้วนแล้วแต่ได้ลองผิดลองถูกมาทั้งนั้น ไม่มีใครได้ความสำเร็จนั้นมาง่ายๆ ถ้าคุณต้องการความสำเร็จที่ได้มาจากทางลัด คงไม่มีใครสามารถให้คำแนะนำคุณได้ แต่ถ้าหากมีคนบอกว่าสามารถแนะนำคุณได้ คุณจะเชื่อเขาอย่างนั้นหรือ ... ก่อนที่คุณจะประสบความสำเร็จในชีวิต คุณต้องรู้ก่อนว่าความสำเร็จในชีวิตนั้น คืออะไร แล้วลองนึกดูว่าถ้าความสำเร็จนั้นได้มาโดยทางลัดหรือได้มาอย่างง่ายดาย คุณจะภูมิใจในตนเองหรือ ถ้าคุณภูมิใจมันก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ภูมิใจ สิ่งนั้นก็ไม่ได้เรียกว่าความสำเร็จในชีวิตหรอก ...

สิ่งสำคัญของการประสบความสำเร็จ คือ ต้องยอมรับที่จะผิดหวังและพร้อมที่จะลุกขึ้นใหม่อยู่เสมอ ... กำลังใจเท่านั้นที่จะช่วยคุณได้

...แล้วกำลังใจของคุณมีมากแค่ไหน...

ต้นแตงโม

[email protected]

ในความคิดของผมแล้ว คำว่า คิดนอกกรอบ คำว่ากรอบ ตรงนั้นมันคืออะไร ใครสร้าง ใครกำหนด หรือคือขอบเขตที่จำกัดให้เราคิด ถ้าคิดนอกเขต เราผิดหรือเราบ้าที่คิดไม่เหมือนคนอื่น แต่ก็มีคนหนึ่งที่วันหนึ่งทุกคนมองว่าเขาบ้า แต่อีกวันหนึ่งเขาก็เป็นคนสำคัญของโลกที่ต้องจดจำ ฉนั้นการคิดนอกกรอบ ก็คือการที่ เราพูด เราคิด เราทำ อย่างที่เรามองเห็น ซึ้งไม่ผิด แล้วแต่การตั้งจิตอธิฐานที่ดีงามเพื่อสังคมโดยไม่เห็นแก่ตัวเองของคนๆนั้น มนุษย์เรามักจะฝึนธรรมชาติ ทำกรอบขึ้นมาเองแล้วสุดท้าย วันหนึ่งที่ว่าถูกก็ผิด วันหนึ่งที่ว่าผิดก็ถูก ฉนั้นทำในอย่างที่ตนเองเห็น ในด้านตน หรือหลายๆคนที่มองเห็นในด้านเดียวกัน+จิตอธิฐานที่บริสุทธิร่วมกันพัฒนาตนเอง สังคม มีหลักคำสอนของศาสนาหนึ่ง บอกว่าสิ่งที่จะพัฒนาที่ดีได้ 1.ตั้งจิตอธิฐานที่ดีก่อน 2.เริ่มพัฒนาทุกด้านที่ดีแก่ตนเองก่อน 3.เริ่มพัฒนาทุกด้านที่ดีแก่ครอบครัวก่อน 4.เริ่มพัฒนาที่ดีแก่เพื่อนบ้านก่อน 5.ชุมชน 6.หมู่บ้าน 7.ตำบล 8.อำเภอ 9.จังหวัด 10.ประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ใครก็ตามแต่ที่ทำได้ ตามคั้นตอนนี้จะประสบความสำเร็จ ตำรวจหรือโจรก็ทำได้ ไม่มีผู้ใดผิด การคิดนอกกรอบก็คือ การมองการมอง ได้ยินได้ยิน คิดและพูด ในด้านที่ตนเองมองเห็น แต่อย่าติด้านที่ตนอืนมองเห็น เพราะจะทำให้เกิดการโต้แย้งกันไม่ยอมกัน

ไออุ่นรักแห่งรัตติกาลหนาว

ผมมักบอกกับเพื่อนเวลาที่เค้ามีปัญหามาปรึกษาว่า "ปัญหาทุกปัญหามีทางออก ถ้าหาทางออกไปเจอก็ออกทางเข้าสิ" เพื่อนก็จะพูดทำนองเดียวกันว่า ชีวิตคนไม่ใช่โรงหนัง จะได้มีทางเข้า-ทางออก.

แล้วมันผิดตรงไหนถ้าเราจะเปรียบชีวิตเป็นเหมือนโรงหนัง แต่มันจะผิดถ้าเปรียบชีวิตเป็นลานจอดรถ.

โรงหนังกับลาดจอดรถเหมือนกันก็คือ มันมีทางเข้า-ทางออก เหมือนกัน.

แล้วรู้หรือเปล่าครับว่ามันแตกต่างกันตรงไหน.....ก็โรงหนังเราสามารถเดินออก ตรงทางเข้าได้นะสิครับ.

ผมไม่เคยเห็นโรงหนังประมาณว่าคนที่ดูเสร็จออกไม่ได้ และคนที่จะเข้ารอบต่อไปเข้าไม่ได้.

แต่ที่พบเห็นบ่อยๆก็คือที่ลาดจอดรถ รถที่จะออกก็ออกไม่ได้เพราะมีรถเยอะเป็นงูกินหาง ส่วนรถที่จะเข้าก็เข้าไม่ได้เพราะติดรถที่จะออก.

ขออธิบายพอคร่าวๆๆประมาณนี้นะครับ ไม่ต่อนะครับ ที่ไม่อธิบายต่อ.....ก็เพราะเรามันคนคิดนอกกรอบเหมือนกัน

"ไม่ใช่สิ่งผิดที่เราคิดไม่เหมือนคนอื่น แต่มันผิด...สำหรับคนที่ไม่แม้แต่จะเริ่มต้นที่จะ...คิด"

ดิฉันได้ปฏิบัติงานราชการโดยมีผลปฏิบัติดังที่อาจารย์จะสามารถอ่านได้จากบทความตามเว็บไซท์นี้ http://gotoknow.org/blog/niparat/329782 รบกวนอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยค่ะว่า ลักษณะงานแบบนี้ ถือเป็นการ "คิดนอกกรอบ" หรือไม่ค่ะ

นับถือ

นิภารัตน์ วงษ์วิชา

นักวิชาการศึกษาชำนาญการ

ได้ยินบ่อยครับคำว่า คิดนอกกรอบ ... ไม่มีหรอกครับ เราออกจากอีกกรอบหนึ่ง มันก็ไปเข้ากรอบใหม่ ความคิดมันจะปรุงแต่ง และมันจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เท่าที่จินตนาการมันจะไปถึง ความคิดสร้างสรรค์กับการปฎิบัติได้นี่ครับของจริง ...ถ้าได้แค่คิด แต่ทำไม่ได้ ก็ไลท์บอย

บินได้แทนเดิน(คิดนอกกรอบ) แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร (จบ ได้แค่คิด)

ผิวหนังมนุษย์แข็งกว่าเสื้อเกราะ (คิดนอกกรอบ) ไปสักยันต์ (เลอะเทอะหลงทาง)....อื่นๆอีกมากมายครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท